ค่ายหลวงหว้ากอ
ด้วยค่ายหลวงหว้ากอนั้นเป็นสถานที่แรกของการเปิดโลกวิทยาศาสตร์ไทย อันเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวง ณ หว้ากอ อันเกิดจากการคำนวณของพระองค์ โดยมีชาวต่างประเทศมาร่วมเป็นสักขีพยาน ของปรากฏการณ์นั้นในวันนี้ กล่าวคือ เมื่อวันศุกร์ที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๑๑ นั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค โดยเรือพระที่นั่งอรรคราชวรเดชจากท่านิเวศวรดิษฐ์ไปยังบ้านหว้ากอ พร้อมด้วยพระราชโอรส พระราชธิดา รวมทั้งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ฯ ขณะนั้้นพระชนมายุ ๑๖ พรรษา กับเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ ข้าราชบริพารจำนวนมาก ด้วยทรงตั้งพระปณิธานแน่วแน่ที่จะพิสูจน์ผลการคำนวณของพระองค์ เพื่อทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวงที่ทรงคำนวณพยากรณ์ไว้ล่วงหน้า ๒ ปี ว่าจะเกิดในวันอังคาร ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง สัมฤทธิศกจุลศักราช ๑๒๓๐ โดยจะเห็นหมดดวงและชัดเจนที่สุด คือ ที่หมู่บ้านหัววาฬ ตำบลหว้ากอ เมืองจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตั้งแต่บริเวณเกาะจาน ขึ้นไปถึงปราณบุรี และลงไปถึงเมืองชุมพร จึงโปรดฯ ให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) สร้างค่ายหลวงและพลับพลาที่ประทับ พร้อมกับเชิญคณะนักดาราศาสตร์จากประเทศฝรั่งเศส และเซอร์แฮรี ออดเจ้าเมืองสิงคโปร์เดินทางมาเข้าเฝ้าฯ และร่วมในการสังเกตการณ์ด้วย ในวันอังคารที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๑๑ ปรากฏการณ์สุริยุปราคาได้เป็นไปตามที่พระองค์ทรงคำนวณทุกประการไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่วินาทีเดียว เซอร์แฮรี ออดเจ้าเมืองสิงคโปร์ได้บันทึกเหตุการณ์และพระปรีชาสามารถของพระองค์ไว้ ว่า “พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระสำราญมากเพราะการคำนวณเวลาสุริยุปราคาของพระองค์ได้พิสูจน์แล้วว่าถูกถ้วนที่สุด ถูกถ้วนยิ่งกว่าที่ชาวยุโรปได้คำนวณไว้” พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงสนพระทัยวิชาคณิตศาสตร์และวิชาดาราศาสตร์ในตำราโหราศาสตร์ของไทยอย่างมากจนพระองค์ทรงได้ค้นคิดวิธีการคำนวณปักข์ (ครึ่งเดือนทางจันทรคติ) เพื่อประโยชน์ในการกำหนดวันธรรมสวนะ (วันพระ) ให้ถูกต้องตามการโคจรของดวงจันทร์ที่เรียกว่า “ปฏิทินปักคณนา” (ปักขคณนา คือ วิธีนับปักข์หรือรอบครึ่งเดือนของข้างขึ้นข้างแรม เป็นวิธีนับที่แม่นยำสูง) และทรงมีพระบรมราชานุญาตให้ใช้ทำปฏิทินจันทรคติพระทุกปี แทนปฏิทินฆราวาส ขณะเดียวกันพระองค์ได้ทรงค้นคิดสูตรสำเร็จในการคำนวณปักข์ออกมาในรูปกระดาน ไม้สี่เหลี่ยมผืนผ้า เพื่อจะได้วันพระที่ถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาคำนวณ และมีชื่อเรียกว่า “กระดานปักขคณนา” อันเป็นพระปรีชาสามารถด้านดาราศาสตร์ ที่น่าจะเริ่มตั้งแต่ทรงทอดพระเนตรดาวหางเมื่อครั้งทรงพระเยาว์ ซึ่งพระองค์ยังได้ทรงออกประกาศแจ้ง ชื่อ ประกาศดาวหางขึ้น อย่าได้วิตกเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ ไม่ให้เชื่อตามคำเล่าลือที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น ประกาศในรัชกาลนั้้นถือเป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ฉบับแรกของประเทศ สำหรับเรื่องดาราศาสตร์นั้น ในพระราชฐานของพระองค์ ทั้งที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดจึงมีหอดูดาวเกิดขึ้นโดยเฉพาะหอชัชวาลเวียงชัยในบริเวณพระนครคีรี หรือเขาวัง พระราชวังสำหรับแปรพระราชฐาน อยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี ที่มีความสำคัญมากในประวัติศาสตร์วิชาดาราศาสตร์ของไทย ด้วยมีพระราชประสงค์จะให้เป็นสถานที่สังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ ในการรักษาเวลามาตรฐานของประเทศ จึงเป็นอนุสรณ์แห่งสัมฤทธิผลในทางวิทยาศาสตร์เรื่องระบบเวลา และพระองค์ทรงสถาปนาระบบเวลามาตรฐานขึ้นในประเทศสยาม เมื่อ พ.ศ.๒๓๙๕ โดยสร้างพระที่นั่งภูวดลทัศไนย ขึ้นในพระบรมราชวัง ใช้เป็นหอนาฬิกาหลวงบอกเวลามาตรฐานของประเทศไทยสมัยนั้น โดยมีพนักงานตำแหน่งพันทิวาทิตย์ เทียบเวลาตอนกลางวันจากดวงอาทิตย์ และ พันพินิตจันทรา เทียบเวลาตอนกลางคืน จากดวงจันทร์ พระองค์ทรงใช้หลักวิทยาศาสตร์อธิบายถึงเหตุผลหลายประการ ทำให้ได้รับการยกย่องว่าพระองค์ทรงเป็นพระราชบิดาวิทยาศาสตร์ไทย และเป็นพระราชบิดาดาราศาสตร์ไทย สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยเฉพาะทางด้านดาราศาสตร์ ได้มีแนวคิดเอาวันสุริยุปราคาที่เกิดขึ้นนั้นเป็นวันวิทยาศาสตร์ไทย ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติวันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๕ เทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็น “พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย” พร้อมกำหนดให้วันที่ ๑๘ สิงหาคม เป็น “วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ” ทุกปี และค่ายหลวงหว้ากอ ก็ได้มีการสร้างเป็นอุทยานของการเรียนรู้ด้านดาราศาสตร์ขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี