ช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงหรือช่วงเปิดเทอมเป็นช่วงที่พ่อแม่ผู้ปกครองมักจะกังวลเกี่ยวกับอาการป่วยของลูกๆ โดยเฉพาะเด็กเล็ก ซึ่งมักมีอาการหวัดหรือน้ำมูกไหลให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ผู้ปกครองบางท่านก็พาลูกน้อยไปให้แพทย์รักษา ผู้ปกครองบางท่านก็ไปร้านยาเพื่อหาซื้อยาลดน้ำมูกหรือยาบรรเทาอาการหวัดไปก่อน บางท่านก็เอายาที่เหลืออยู่จากครั้งก่อนมาให้ไปก่อน แต่ไม่ว่าท่านจะทำอย่างไร ท่านก็จะต้องมีการนำยามาให้ลูกน้อยรับประทาน ซึ่งยาเหล่านี้มีประเด็นที่ท่านควรรู้และทำความเข้าใจเนื่องจากมีความสำคัญต่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการใช้ยา
ข้อมูลจาก รศ.ดร.ภญ.บุษบา จินดาวิจักษณ์ และ ผศ.ภก.ศุภทัตชุมนุมวัฒน์ ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลเปิดเผยว่า โรคหวัดในบทความนี้หมายถึงโรคหวัดทั่วไป หรือโรคหวัดธรรมดา(common cold) เป็นโรคติดเชื้อชนิดหนึ่งโดยในทางการแพทย์คือโรคติดเชื้อไวรัสในทางเดินหายใจส่วนบน ซึ่งมักมีอาการไม่รุนแรง และหายเองได้ อาการแสดงที่พบบ่อยคืออาการทางจมูก เช่น คัดจมูก น้ำมูกไหล จาม เป็นหลัก และอาจมีอาการไอ หรือมีไข้ต่ำๆ ร่วมด้วยได้จึงอาจเรียกโรคนี้ว่าโรคไข้หวัด หรือโรคไข้หวัดธรรมดา ซึ่งเป็นคนละโรคกับโรคไข้หวัดใหญ่ ส่วนอาการทางจมูกที่เกิดขึ้นนั้นจะคล้ายกับอาการแสดงของโรคภูมิแพ้จมูกที่มักมีอาการใกล้เคียงกัน แต่โรคภูมิแพ้จมูกมักจะมีอาการคันจมูก คันตาร่วมด้วย โดยที่โรคภูมิแพ้จมูกมักจะไม่มีไข้ ดังนั้นอาการหวัดในความเข้าใจของผู้ปกครองแต่ละท่านอาจแตกต่างกันออกไป บ้างเข้าใจว่าคืออาการแสดงของการติดเชื้อ บ้างเข้าใจว่าเป็นอาการภูมิแพ้ ซึ่งความเข้าใจเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ผิด เนื่องจากเด็กๆ อาจมีอาการจากสาเหตุดังกล่าวได้ แต่อาจไม่ใช่ทุกครั้งหรือทุกคนเสมอไป
ดังนั้น การประเมินอาการเบื้องต้นอาจช่วยให้ทราบได้ว่ามีโอกาสเป็นเพียงโรคหวัดธรรมดา หรือ โรคไข้หวัดใหญ่ที่จำเป็นต้องได้รับยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ หรือ โรคไข้หวัดธรรมดาที่ติดเชื้อแบคทีเรียที่จำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะร่วมด้วยหรือไม่ และควรเลือกใช้ยาอะไรจึงจะเหมาะสมกับอาการของเด็ก
ยาแก้หวัดสำหรับเด็กคืออะไร แต่ละยี่ห้อเหมือนกันหรือไม่?
จากที่กล่าวมาข้างต้น อาการหวัดที่พบบ่อย ได้แก่ คัดจมูก น้ำมูกไหล จาม เป็นต้น และอาจมีอาการไอ หรือมีไข้ต่ำๆ ดังนั้น ยาแก้หวัด ก็คือ ยาที่ช่วยบรรเทาอาการหวัด นั่นเอง
ยาแก้หวัดส่วนใหญ่ที่มีจำหน่ายมักจะอยู่ในรูปของยาสูตรผสม ที่มีส่วนประกอบอย่างน้อย 2 ชนิดของตัวยาในกลุ่มยาต่อไปนี้
l ยากลุ่มต้านฮีสตามีน (antihistamines) เช่น คลอเฟนิรามีน (chlorpheniramine หรือ CPM) หรือบรอมเฟนิรามีน (brompheniramine)ซึ่งเป็นยาที่มักเรียกติดปากว่า ยาแก้แพ้ ยากลุ่มนี้มีกลไกการออกฤทธิ์ที่ส่งผลให้สารคัดหลั่งในทางเดินหายใจลดลงได้ จึงทำให้ยานี้ถูกนำมาใช้เพื่อลดอาการน้ำมูกไหลในโรคหวัดธรรมดาได้ แต่ยาเหล่านี้เป็นยาต้านฮีสตามีนกลุ่มแรกๆ ที่ผลิตออกมาและมีฤทธิ์ที่ทำให้เกิดอาการง่วงซึมได้มาก ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังในเรื่องของขนาดยาโดยเฉพาะในทารกที่อาจต้องรับประทานนมแม่บ่อยๆ ทารกอาจหลับจนไม่ได้รับประทานนมแม่
l ยากลุ่มที่ช่วยลดอาการคัดจมูก (decongestants) ซึ่งปัจจุบันตัวยาที่ถูกใช้มากที่สุดในผลิตภัณฑ์ที่มีจำหน่ายในร้านขายยา คือ ยาเฟนิลอีฟริน (phenylephrine) ซึ่งยาชนิดนี้จะใช้เพื่อลดอาการคัดแน่นจมูกเป็นหลัก โดยที่อาจไม่ส่งผลลดปริมาณน้ำมูก การใช้ยานี้มีข้อควรระวังในเรื่องของขนาดยาเช่นกัน เนื่องจากยามีฤทธิ์ทำให้เกิดอาการกระสับกระส่าย และทารกอาจร้องงอแงได้
นอกจากยาสองกลุ่มที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว บางผลิตภัณฑ์อาจเพิ่มส่วนประกอบของยาลดไข้ (antipyretics) เข้าไปด้วยเป็นตัวยาชนิดที่ 3 ซึ่งยาลดไข้ที่ว่า คือ ยาพาราเซตามอล (paracetamol) ที่เรารู้จักกันดีนั่นเอง
ความเข้มข้นของตัวยาต่างๆ ในแต่ละผลิตภัณฑ์ยังอาจแตกต่างกันออกไปด้วยดังนั้นหากเด็กๆ มีอาการน้ำมูกไหลเพียงอย่างเดียว แต่ได้รับผลิตภัณฑ์ยาที่มีส่วนประกอบของยาลดอาการคัดจมูกหรือยาลดไข้ไปด้วยจึงเป็นสิ่งที่เกินความจำเป็น เช่น อาการไข้มักหายก่อน มักเป็นไม่เกิน 3 วัน ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้ยาแก้ไข้ในช่วงหลัง ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ที่มีทั้งยาแก้แพ้ ยาลดอาการคัดจมูก และยาลดไข้ เป็นสูตรผสมอยู่ด้วยกัน ก็จะสามารถรักษาอาการหวัดที่ครอบคลุมอาการ น้ำมูกไหล คัดจมูก และไข้ แต่เด็กจะเสี่ยงต่อการเกิดอาการข้างเคียงจากยามากขึ้น การเลือกผลิตภัณฑ์ยาแก้หวัดที่ใช้จึงควรสอดคล้องกับอาการแสดงของเด็กๆ เป็นหลัก
ปริมาณยาแก้หวัดที่เหมาะสมสำหรับเด็กคือเท่าไหร่?
การใช้ยาแก้หวัดไม่ว่าจะเป็นยาเดี่ยวหรือสูตรผสมก็ตาม ควรใช้ขนาดยาตามที่ฉลากระบุซึ่งแพทย์หรือเภสัชกรจะคำนวณขนาดยาที่เหมาะสม โดยคำนวณจากน้ำหนักตัวเป็นหลัก ซึ่งหากอ่านที่ข้างกล่องบรรจุก็จะมีการระบุขนาดยาไว้ด้วย ซึ่งจะระบุขนาดยาตามอายุผู้ป่วยเท่านั้น โดยใช้เกณฑ์เฉลี่ยของน้ำหนักตัวเด็กในการคำนวณขนาดยา ทำให้มีโอกาสที่ขนาดยาเมื่ออ่านจากข้างกล่องน้อยกว่าหรือมากกว่าที่ระบุบนฉลาก และ อาจทำให้เด็กได้รับยาในปริมาณที่ไม่เหมาะสมได้ โดยเฉพาะในเด็กที่ผอมหรืออ้วนกว่าเกณฑ์มากๆ
นอกจากนี้ความเข้มข้นของยาแต่ละชนิดอาจแตกต่างกันไปในแต่ละผลิตภัณฑ์ ดังนั้นขนาดยารับประทานสำหรับเด็กคนเดียวกันของยาในแต่ละยี่ห้ออาจมีความ
แตกต่างกันไปได้ ด้วยเหตุนี้เองการใช้ยาแก้หวัด โดยเฉพาะยาสูตรผสมควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์และคำแนะนำของเภสัชกร ซึ่งในบางครั้งเมื่อคำนวณขนาดยาออกมาตามน้ำหนักตัวจะพบว่า ปริมาณยาบางชนิดในผลิตภัณฑ์ยาสูตรผสมอาจสูงเกินไปหรือต่ำเกินไป ทำให้การบรรเทาอาการบางอย่างอาจไม่ดีขึ้นหรือเกิดอาการข้างเคียงได้ ในกรณีนี้จึงต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นยาเดี่ยวเพื่อให้สามารถใช้ยาแต่ละชนิดในปริมาณที่เหมาะสมได้มากที่สุด แม้ว่าจะทำให้เกิดความยุ่งยากในการป้อนยาที่เป็นสูตรยาเดี่ยว เนื่องจากต้องป้อนหลายครั้งก็ตาม
โดยสรุป ยาแก้หวัดมีความแตกต่างกันในตัวเองของจำนวนยาและความเข้มข้นของยาในผลิตภัณฑ์ ส่งผลให้ปริมาณยาที่จำเป็นต้องใช้ในเด็กแต่ละรายนั้นแตกต่างกันออกไปได้ขึ้นกับผลิตภัณฑ์ที่ได้รับ และผลิตภัณฑ์ที่ใช้นั้นควรมียาที่พอดีกับอาการหวัดของเด็กๆ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและความปลอดภัยจากการใช้ยา สำหรับผู้สนใจข้อมูลสุขภาพและการใช้ยาของคณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล สามารถติดตามได้ที่ https://pharmacy.mahidol.ac.th/thservice-knowledge.php
ผศ.(พิเศษ)ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์
ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี