ปัจจุบันประเทศไทยก้าวสู่สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ ทำให้พบปัญหาผู้ป่วยข้อสะโพกหักในผู้สูงอายุมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งกระดูกข้อสะโพกหักนั้นเกิดจากการเสื่อมสภาพของกระดูกสะโพกตามวัย ส่งผลให้ผู้สูงอายุมีการทรงตัวที่ไม่ดี อาจทำให้ประสบอุบัติเหตุจนกระดูกข้อสะโพกหักง่ายกว่ากลุ่มคนวัยอื่นหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ผู้ป่วยจะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมาก บางรายส่งผลร้ายแรงทำให้เป็นผู้ป่วยติดเตียงและอาจเกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดหรือรุนแรงถึงแก่ชีวิตได้
รศ.นพ.วัชระ วิไลรัตน์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญหน่วยศัลยกรรมข้อเข่าและสะโพกเทียม ฝ่ายออร์โธปิดิกส์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยผู้คิดค้นประดิษฐ์ “ข้อสะโพกเทียม” สำหรับผู้ป่วยกระดูกสะโพกหัก ร่วมกับทีมคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาเครื่องกลจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยจนได้รับรางวัล “ผลงานประดิษฐ์คิดค้น ประจำปีงบประมาณ 2563 รางวัลระดับดีมาก “ จากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ
ความมุ่งมั่นในการพัฒนาข้อสะโพกเทียมมาตลอดระยะเวลากว่า10 ปีนั้น ลงตัวที่วัสดุโคบอลต์/โครเมียมสำหรับผลิตส่วนหัวและไทเทเนียมสำหรับผลิตก้าน ผลงานดังกล่าวผ่านกระบวนการทดสอบและทดลองครบทุกด้านโดยคำนึงถึงความปลอดภัยที่จะเกิดขึ้นเมื่อผู้ป่วยนำสิ่งประดิษฐ์ไปใช้งานเป็นสำคัญ อาทิ ทดสอบการกัดกร่อนของโลหะ (Fretting Corrosion) ทดสอบแรงต้านของโลหะ (Pull Off Strength) ทดสอบการส่งผลเป็นพิษในระดับเซลล์ (Cytotoxicity) ทดสอบอาการแพ้ต่อผิวหนัง (Skin Sensitization) รวมไปถึงการทดสอบโลหะแต่ละชนิดที่นำมาใช้ในการผลิต และสถานที่ผลิต เป็นต้น จนได้รับรองมาตรฐาน ISO7206 ASTM2009 ASTM1875และ ISO10993 ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันแล้วว่าผลงานข้อสะโพกเทียมสามารถนำมาใช้งานได้จริงในผู้ป่วยสูงอายุและไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงหรืออันตรายต่อร่างกายของมนุษย์แต่อย่างใด อีกทั้งยังอ้างอิงจากโครงสร้างทางสรีระจริงของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นรายบุคคลอีกด้วยทำให้การใช้งานข้อสะโพกเทียมนั้นมีความใกล้เคียงกับข้อสะโพกเดิมเป็นอย่างมาก
ปัจจุบันข้อสะโพกเทียมได้นำมาใช้รักษาผู้ป่วยสูงอายุที่ประสบอุบัติเหตุข้อสะโพกหักแล้วประมาณ 9 ราย ในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยซึ่งผลการรักษาเป็นไปในทิศทางที่ดีมากๆ สืบเนื่องจากการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกจะใช้เวลาพักฟื้นเพียง 2-3 วันเท่านั้น ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วทำให้ลดระยะเวลาการนอนโรงพยาบาลได้ อีกทั้งผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติเร็วยิ่งขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่เป็นภาระการดูแลของครอบครัว รวมไปถึงยังสามารถช่วยลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยสูงอายุอันเนื่องมาจากการติดเชื้อของระบบต่างๆ ในร่างกาย และที่สำคัญในปัจจุบันนี้ยังไม่มีการเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด เพราะการผ่าตัดข้อสะโพกเทียมนี้ยังอยู่ในโครงการพิเศษของโรงพยาบาลอีกด้วย
รศ.นพ.วัชระ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยหลังจากได้รับการผ่าตัดข้อสะโพกเทียมว่า ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ทางทีมแพทย์จะนัดหมายผู้ป่วยตามโปรแกรมการเฝ้าดูแล เริ่มต้นจากทุกๆ 2 อาทิตย์ในช่วงแรกหลังเข้ารับการผ่าตัด จากนั้นแพทย์จะนัดห่างขึ้นเป็น 3 เดือน และค่อยๆ ห่างออกไปเป็นปีละ 1 ครั้ง และในทุกๆ ครั้งที่ผู้ป่วยกลับมาพบแพทย์ตามนัดนั้น ทีมแพทย์จะทำการตรวจเลือดเพื่อตรวจสอบค่าโลหะต่างๆ ในร่างกาย เพื่อไม่ให้มีปริมาณมากเกินไปจนเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยเอง
รศ.นพ.วัชระ กล่าวทิ้งท้ายว่าผลงานประดิษฐ์ข้อสะโพกเทียมนี้นับเป็นความภาคภูมิใจครั้งสำคัญและคุ้มค่าอย่างมากที่ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจ คิดค้นพัฒนา ต่อยอดองค์ความรู้จากประสบการณ์ที่ได้จากการรักษาผู้ป่วยตลอดระยะเวลาการเป็นศัลยแพทย์สู่สิ่งประดิษฐ์ข้อสะโพกเทียมที่ใช้งานได้ใกล้เคียงของจริงและเข้ากับสรีระของคนไทย ถือเป็นข้อสะโพกเทียมที่ผลิตโดยคนไทย เพื่อคนไทย ซึ่งทดแทนการนำเข้าข้อสะโพกเทียมจากต่างประเทศได้ ทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาได้ง่ายยิ่งขึ้น ค่าใช้จ่ายถูกลง สำหรับทิศทางในอนาคต มีโครงการต่อยอดร่วมกับทีมคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาเครื่องกล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในการผลิตข้อสะโพกเทียมแบบ 2 ชิ้นสู่การผลิตข้อสะโพกเทียมทั้งเบ้าสำหรับใช้กับกลุ่มคนที่มีอายุน้อยลง และโครงการประดิษฐ์ข้อเข่าเทียมซึ่งนับเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยสูงอายุเป็นอย่างยิ่ง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี