วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ราชวรวิหาร เป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาขึ้น เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2442 แล้วทรงให้สร้างวัดขึ้น จนถึงปี 2443 เขตสังฆเสนาสน์ได้แล้วเสร็จตามพระราชประสงค์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นิมนต์พระสงฆ์และสามเณร 33 รวม33 รูป จากวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ไปจำพรรษา ณ วัดเบญจมบพิตรฯ เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2443
ไลฟ์ วาไรตี สัปดาห์นี้ ดร.เฉลิมชัยยอดมาลัย นำคุณไปกราบนมัสการสนทนากับ พระครูปลัดอุดมวัฒน์ พระสงฆ์วัดเบญจมบพิตรฯ ผู้ซึ่งทำหน้าที่ในคณะทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศ
● กราบนมัสการขอความเมตตาจากหลวงพี่ช่วยกรุณาเล่าประวัติวัดเบญจมบพิตรฯ โดยสังเขปด้วยครับ
พระครูปลัดฯ : ขอเจริญพรคุณโยม สำหรับประวัติคร่าวๆ ของวัดเบญจมบพิตรฯ คือสันนิษฐานว่าเป็นวัดเก่าแก่สร้างตั้งแต่ยุคกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เดิมชื่อวัดแหลม หรือวัดไทรทอง ตั้งอยู่นอกกำแพงพระนครรัตนโกสินทร์ ต่อมามีหลักฐานปรากฏว่าประมาณ พ.ศ.2368-69ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ รัชกาลที่ 3 ทรงบัญชาการให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์(ต้นราชสกุลพนมวัน) ทรงเป็นผู้บัญชาการกองกำลังรักษาพระนคร โดยทรงตั้งกองบัญชาการอยู่ในเขตวัดแหลม ครั้นเมื่อเสร็จพระราชกิจปราบกบฏแล้ว กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ พร้อมด้วยพระเชษฐภคินี พระขนิษฐภคินี พระกนิษฐภาดา และเจ้าจอมมารดา รวมทั้งสิ้น5 พระองค์ ทรงปฏิสังขรณ์วัดแหลม แล้วทรงสร้างพระเจดีย์ราย 5 องค์ไว้ด้านหน้าวัด ครั้นในรัชสมัยรัชกาลที่ 4 พระราชทานนามวัดนี้ว่าเบญจบพิตร คือวัดของเจ้านาย 5 พระองค์ ครั้นล่วงมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างสวนดุสิตขึ้น ซึ่งในการก่อสร้างนั้นทรงใช้พื้นที่ของวัดเก่า 2 แห่งที่อยู่ในสภาพรกร้างทรุดโทรมมาก และบริเวณใกล้กับสวนดุสิตนั้นมีวัดเบญจบพิตรซึ่งทรุดโทรมมากเช่นกัน จึงทรงให้กระทำผาติกรรมทรงสถาปนาเป็นวัดใหม่ พระราชทานนามว่าวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงออกแบบพระอุโบสถและพระระเบียงรอบพระอุโบสถ และทรงมีพระราชดำริให้วัดแห่งนี้เป็นที่รวบรวมพระพุทธรูปโบราณที่มีพุทธลักษณะงดงามตามพุทธศิลป์โดยแท้ และให้วัดนี้เป็นสถานที่ศึกษาพระปริยัติธรรม รวมถึงเป็นพระราชานุสาวรีย์แห่งพระองค์ท่านพระราชทานนามวัดว่าวัดเบญจมบพิตร แปลว่าวัดของพระเจ้าแผ่นดิน รัชกาลที่ 5 และมีพระราชประสงค์ให้อัญเชิญพระบรมราชสรีรางคารของพระองค์ไปบรรจุไว้ที่ใต้ฐานรัตนบัลลังก์องค์พระพุทธชินราชจำลองในพระอุโบสถ ขอเล่าให้ฟังว่าวัดเบญจมบพิตรฯ คือวัดส่วนพระองค์ มิใช่วัดประจำรัชกาลที่ 5 เพราะวัดประจำรัชกาลที่ 5 คือวัดราชบพิตรสถิตมหาสีมาราช ซึ่งสร้างก่อนวัดเบญจมบพิตรฯ วัดส่วนพระองค์คือวัดที่ทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างขึ้น ส่วนวัดประจำรัชกาลใช้เงินพระคลังสร้างขึ้น
● กราบหลวงพี่ช่วยกรุณาเล่าถึงความวิจิตร และความสำคัญของพระอุโบสถให้ทราบด้วยครับ
พระครูปลัดฯ : พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชประสงค์สำคัญข้อหนึ่งในการทรงสถาปนาวัดนี้คือ เพื่อการแสดงแบบอย่างการช่างของสยามยุคกรุงรัตนโกสินทร์ให้ปรากฏ พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ นายช่างใหญ่หรือนายช่างเอกในยุคนั้นทรงออกแบบแปลนแผนผังของวัด เมื่อทอดพระเนตรแล้ว ทรงพอพระราชหฤทัยมาก ตรัสว่างานศิลปะของเธอได้มานั่งในใจฉันแล้ว พระองค์ตรัสว่านี่คือแบบอย่างการช่างของสยามที่แท้จริง พระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรฯ เป็นทรงจตุรมุขโดยหน้าบันด้านหน้าเป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ ด้านทิศตะวันตกเป็นตราอุณาโลม ด้านทิศใต้เป็นตราพระธรรมจักร ด้านเหนือเป็นตราไอราพต หรือช้างสามเศียร ส่วนพระประธานคือพระพุทธชินราชจำลอง ก่อนที่จะทรงให้จำลองพระพุทธชินราชมานั้น ทรงโปรดเกล้าฯ ให้กรมพระยาดำรงราชานุภาพไปทรงเสาะหาพระประธานที่มีพุทธลักษณะงดงามมา แต่สุดท้ายทรงระลึกถึงองค์พระพุทธชินราช ณ เมืองพิษณุโลก แล้วทรงให้ไปจำลองมาประดิษฐาน ณ วัดเบญจมบพิตรฯ แห่งนี้ สำหรับความต่างกันของพระพุทธรูปทั้งสองคือซุ้มเรือนแก้ว โดยซุ้มเรือนแก้วพระพุทธชินราช เมืองพิษณุโลกทำด้วยไม้ ส่วนของวัดเบญจมบพิตรฯ เป็นทองเหลือง ด้านล่างของซุ้มเรือนแก้วพระประธานวัดเบญจมบพิตรฯ หล่อเป็นตัวสิงห์ ส่วนที่พระพุทธชินราช พิษณุโลก ด้านล่างของซุ้มเรือนแก้วคือยักษ์สองตน คือท้าวเวสสุวรรณกับอาฬวกยักษ์
● สิ่งสำคัญอื่นๆ ในวัดยังมีอะไรที่น่าสนใจ น่าไปชมอีกครับ
พระครูปลัดฯ : ในพระอุโบสถมีสิ่งสำคัญสูงสุดที่คนไทยควรจะต้องไปกราบถวายราชสักการะคือพระบรมราชสรีรางคารของรัชกาลที่ 5 พระองค์ท่านทรงสั่งไว้ว่า เมื่อพระองค์ท่านเสด็จสวรรคตแล้ว ต้องอัญเชิญพระบรมราชสรีรางคารของพระองค์ไปประดิษฐานที่ใต้ฐานรัตนบัลลังก์องค์พระประธาน นอกจากนี้ด้านหลังพระอุโบสถยังมีสิ่งสำคัญคือพระธรรมจักร พระพุทธรูปศิลปะลพบุรีที่มีองค์ใหญ่และสมบูรณ์ที่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่ในแผ่นดินไทย ฝ่าพระหัตถ์ด้านขวามีลายพระธรรมจักรอยู่ ส่วนใต้ฐานพระเป็นที่บรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระบรมมาตามหัยิกาเธอ กรมพระยาสุดารัตน์ราชประยูร ซึ่งราชกาลที่ 5 ทรงเรียกว่าเสด็จยาย ส่วนระเบียงพระวิหารก็มีพระพุทธรูปโบราณอีก 52 องค์ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือพระพุทธรูปปางลีลา พระพุทธรูปปางลีลาองค์นี้หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ทรงยกย่องว่างดงามไม่แพ้ประติมากรรมชิ้นเอกของโลก อาจารย์ศิลป์ พีระศรีได้นำแบบพระพุทธรูปองค์นี้ไปเป็นพระพุทธรูปประธาน ณ พุทธมณฑล ส่วนสถานที่สำคัญอื่นๆ คือ พระที่นั่งทรงธรรม พระที่นั่งทรงผนวช ศาลา บัณณรศภาค และศาลาหนึ่งร้อยปีพระปิยมหาราช รวมถึงต้นพระศรีมหาโพธิ์ ที่ได้หน่อมาจากพุทธคยา สำหรับพระที่นั่งทรงผนวช คือพระที่นั่งที่ในหลวง รัชกาลที่ 5 ทรงประทับเมื่อทรงพระผนวช ณ พุทธรัตนสถาน ในพระบรมมหาราชวังทรงให้ชะลอพระที่นั่งทรงผนวชจากสวนศิวาลัยในพระบรมมหาราชวัง มาไว้ ณ วัดเบญจมบพิตรฯเมื่อญาติโยมมีโอกาสมาทำบุญ ไหว้พระ หรือมาเที่ยวชมวัดเบญจมบพิตรฯ อาตมาก็ขอให้ญาติโยมได้หาเวลาไปกราบนมัสการสถานที่ต่างๆ ที่อาตมาได้กล่าวแนะนำไว้ และอยากให้ญาติโยมรับทราบว่า วัดเบญจมบพิตรฯ ยินดีต้อนรับทุกท่านไม่ว่าท่านมีความสุข หรือมีความทุกข์ วัดก็เป็นสถานที่ที่ทุกท่านสามารถเข้าไปได้เสมอ
● สุดท้ายกระผมขอกราบนมัสการหลวงพี่โปรดช่วยให้พรปีใหม่กับผู้ชมรายการไลฟ์วาไรตี และผู้อ่านหนังสือพิมพ์แนวหน้าด้วยครับเพราะปกติ วันขึ้นปีใหม่เราจะไปทำบุญ ไหว้พระ ขอพรจากพระด้วยกันครับ
พระครูปลัดฯ : ช่วงนี้มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ขอให้ญาติโยมทุกคนดูแลตัวเองและคนใกล้ชิดให้ดี ไปไหนมาไหนก็ขอให้ระมัดระวังตัว ไม่เข้าไปอยู่ในเขตที่มีผู้คนหนาแน่น อากาศถ่ายเทไม่สะดวก และอาตมาภาพในนามพระเดชพระคุณพระเทพกิตติเวที ท่านเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรฯ ใคร่ขออนุญาตให้ธรรมะเป็นพร เพื่อเสริมสร้างกำลังใจกับทุกท่านในช่วงสถานการณ์ที่เราท่านทั้งหลายกำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่อาจทำให้กำลังกาย กำลังใจของหลายคนถดถอยลงไป ก็ขอให้นำธรรมะของพระพุทธเจ้าเข้ามาเป็นโอปนะยิกธรรม คือน้อมเข้ามาหาตัวเอง ระลึกนึกถึงตลอดเวลาว่า ชีวิตของเราก็เหมือนธรรมชาติ มีฤดูกาลต่างๆ เช่น ร้อน ฝน หนาว ชีวิตของเราก็เหมือนกันมันหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปตลอด มีสุข มีทุกข์มีร้องไห้ มีหัวเราะ แต่เมื่อมองให้ลึก มองเข้าไปเห็นชัดเจนแล้ว เราก็จะเห็นว่าก่อนหน้านี้เราก็เคยหัวเราะ เราก็เคยร้องไห้ ทุกสิ่งทุกอย่างมีมืด มีสว่างมีร้อน มีเย็น มีสุข มีทุกข์ ไม่มีใครร้องไห้ตลอด แล้วก็ไม่มีใครดีใจตลอด แต่สิ่งที่เราต้องมีคือขันติ ความอดทน ความอดกลั้น เมื่อเรานิ่งได้ ทนได้ เราก็จะมีความเป็นปกติสุข ขอให้พรให้กำลังใจให้ท่านทั้งหลายที่เป็นเพื่อนร่วมคิดร่วมฝ่าฟันร่วมกอดคอกันไป ท้ายที่สุดเราทั้งหลายก็จะไปพบกับความสวัสดีมีชัย เจริญรุ่งเรือง ถึงพร้อมด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธรรมสารสมบัติ ธนสารสมบัติ สงบร่มเย็นในที่สุด ขอเจริญพร
คุณจะได้พบรายการดีที่ครบครันด้วยสาระและความรู้ รายการ ไลฟ์ วาไรตี ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา 16.00-16.25 น. ทางโทรทัศน์ NBT กดหมายเลข 2 และชมรายการย้อนหลังได้ที่ YouTube ไลฟ์ วาไรตี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี