โลกและสังคมในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วแบบก้าวกระโดด ส่งผลให้เด็กไทยต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ และการแข่งขันที่ดุเดือดมากขึ้นในอนาคต แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นความกังวลที่พ่อแม่ผู้ปกครองทุกคนกำลังเผชิญ และพยายามวางแผนที่จะตระเตรียมลูกน้อย เพื่อให้พร้อมทั้งในด้านการดำรงชีวิต การเรียน การประกอบอาชีพ ตลอดจนการเข้าถึงโอกาสต่างๆ
เมื่อโลกเดินหน้าเข้าสู่ยุคใหม่ แล้วเด็กไทยต่อจากนี้ควรเป็นอย่างไร ต้องการทักษะใด หรือต้องมีการเลี้ยงดูแบบไหน เพื่อไขคำตอบที่วนเวียนอยู่ในใจพ่อแม่หลายคนขณะนี้บริษัท เอ็ดดูเคชั่น อีซี่ ไทยแลนด์ จำกัด หรือ “Edsy” จึงได้ร่วมกับ สถาบันอุทยานการเรียนรู้ “TK Park” และพันธมิตรภาคการศึกษา อาทิ โรงเรียนนานาชาติ VERSO และ theAsianparent จัดเวทีเสวนาในหัวข้อ “เตรียมพร้อมเด็กไทยในวันที่โลกเปลี่ยน” เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2565 ณ อุทยานการเรียนรู้ TK Park ชั้น 8 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์
หนึ่งในประเด็นสำคัญคือการเตรียมพร้อมเด็กไทยให้เติบโตเป็นพลเมืองโลก หรือ “Global Citizen” กอบกาญจน์วัฒนวรางกูร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์และอดีต รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา มองว่าสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือการเปลี่ยน Mindset ที่พร้อมทำความเข้าใจและเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในโลก ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมหรือความหลากหลายของผู้คน ซึ่งการฝึกลูกให้เป็นคนที่เปิดกว้างนี้จะทำให้เขายอมรับในความแตกต่าง ได้เรียนรู้จากผู้อื่นและพร้อมที่จะย้อนกลับมาพัฒนาตนเองได้
อย่างไรก็ตาม เธอเชื่อว่าแม้ผู้ปกครองหลายคนจะไม่ได้มีโอกาสส่งลูกหลานไปเรียนโรงเรียนนานาชาติหรือไปเรียนที่ต่างประเทศ หากแต่นั่นไม่ได้ปิดกั้นโอกาสที่จะทำให้ลูกเป็นคนที่เปิดกว้าง เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่ Mindset ของเด็กที่จะต้องเปิดโลกทัศน์ของตัวเองได้ตลอดเวลา รวมถึงตัวของพ่อแม่เองที่จะต้องร่วมเรียนรู้และกล้าลองสิ่งใหม่ๆ ไปพร้อมกันกับเขา เพราะการศึกษาไม่ได้อยู่แต่เพียงในห้องเรียน
ในอีกมุมหนึ่ง กรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า และที่ปรึกษาอาวุโสของ Edsy เสริมว่า ทักษะทางภาษา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ยังจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้
คนต่างพื้นเพมาทำความเข้าใจและยอมรับความแตกต่างกันได้มากขึ้น เพราะหัวใจของการเรียนภาษานั้นไม่ได้มีจุดประสงค์เพียงเพื่อใช้ในการสื่อสารเท่านั้น หากแต่ยังเป็นการทำความเข้าใจถึงบริบททางวัฒนธรรม และเรื่องราวของเจ้าของภาษา เพื่อที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในโลกของเขาอย่างแท้จริง
ขณะเดียวกันภาษายังเป็นการเพิ่มโอกาสแห่งการเรียนรู้ เพราะคนที่รู้ภาษาอังกฤษจะมีตัวเลือกในการค้นหา เรียนรู้ และเข้าถึงข้อมูลที่มากกว่า สามารถเลือกได้ว่า
จะสนใจหรือศึกษาในสิ่งใด โดยกรณ์ยอมรับว่าคอนเทนท์ภาษาอังกฤษนั้น มีเสน่ห์สำหรับเด็กมากกว่าคอนเทนท์ภาษาไทยส่วนนี้จึงอาจเป็นประเด็นที่ท้าทายสังคมไทยด้วยว่าเราจะพัฒนาคอนเทนท์อย่างไรให้เข้าตาเด็กได้มากกว่านี้
ถัดมาที่วิสัยทัศน์การเลี้ยงลูกยุคใหม่ เพื่อให้เด็กพร้อมสำหรับยุคศตวรรษที่ 21 มุมมองของผู้บริหารอย่าง พรทิพย์ กองชุน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการและ
ผู้ร่วมก่อตั้ง Jitta ระบุว่า ในเมื่อขณะนี้เราอยู่ในยุค VUCA หรือยุคที่เต็มไปด้วยความผันผวน ไม่แน่นอน ซับซ้อน และคลุมเครือ ฉะนั้น การวางแผนอนาคตของลูกอาจมองภาพไกลมากไม่ได้ และจะไม่ใช่การตีกรอบแบบตายตัวว่าโตไปแล้วลูกควรจะทำอาชีพอะไร หากแต่จะเปิดโอกาสเพื่อให้ลูกได้มีโอกาสทดลองและเรียนรู้ เพื่อค้นพบความสนใจของตนเองได้
สอดคล้องกับ พิเชษฐ ฤกษ์ปรีชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท LINE ประเทศไทย ที่มองว่าการมาถึงของเทคโนโลยี ทำให้การเรียนแบบเก่าๆ ที่เน้นการท่องจำไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป และหลักสูตรหลายอย่างก็อาจจะล้าสมัยไปในเวลาอันใกล้ เช่นเดียวกับคุณค่าของใบปริญญา ดังนั้น การวางแผนการศึกษาให้ลูกแบบชัดเจนอาจจะเป็นเรื่องยาก แต่การช่วยให้ลูกค้นพบความชอบของตนเอง และเสริมสร้างพัฒนาทักษะ จึงอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
สำหรับทักษะพื้นฐานที่จำเป็นและควรเสริมให้กับลูกในมุมของ พิเชษฐ เขายกตัวอย่างเช่น ทักษะในการคิดวิเคราะห์ ทักษะในการใช้เทคโนโลยีและรับข้อมูลข่าวสารได้อย่างเหมาะสม รู้แหล่งในการสืบค้นข้อมูล สามารถแยกแยะข้อมูลที่เชื่อถือได้และไม่ได้ รวมถึงทักษะการเอาตัวรอดอื่นๆ เช่น ความสามารถที่จะรู้ว่าอะไรจำเป็นหรือไม่จำเป็นต่อชีวิต เพื่อหาจุดสมดุลในชีวิตได้
ด้าน สิทธิโชค นพชินบุตร รองประธานองค์กรฯ บริษัท Thai Samsung Electronics เห็นตรงกันว่าการทำนายอนาคตว่าควรปูทางให้ลูกเรียนอะไร หรือทำอาชีพใด
เป็นเรื่องที่ยากและคาดเดาไม่ได้ ดังนั้นเราควรมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาทักษะแห่งอนาคต ซึ่งมีด้วยกัน 4 หัวข้อหลัก คือ 1.Cognitive skill หรือองค์ความรู้ การคิดวิเคราะห์ 2.Digital skill สำหรับเทคโนโลยี 3.Self-leadershipการเป็นผู้นำได้ด้วยตัวเอง และ 4.Interpersonal Skillsหรือทักษะการสื่อสารระหว่างบุคคล
เมื่อมามองถึงบทบาทของครอบครัวและโรงเรียน ที่จะมีความสำคัญต่อการพัฒนาของเด็กไทย มุมมองของ ผศ.นพ.วรวุฒิ เชยประเสริฐ หรือ หมอวิน เจ้าของเพจ
เลี้ยงลูกตามใจหมอ เน้นย้ำว่าสิ่งสำคัญที่เป็นพื้นฐานสำหรับเด็กในการเผชิญโลกแห่งอนาคตที่มีความไม่แน่นอน คือ “Mental Health” หรือการมีสุขภาพจิตที่ดี เพราะเด็กที่มีสุขภาพจิตดีนั้นพร้อมที่จะเรียนรู้ และรู้จักอารมณ์ของตนเอง สามารถแสดงอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม จัดการอารมณ์ด้านบวกและด้านลบของตนเองได้ และหากวันใดที่เจออุปสรรคหรือความเปลี่ยนแปลงต่างๆ จากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนของโลก เขาก็จะสามารถจัดการและก้าวผ่านมันไปได้
ในส่วนของ พญ.กัลย์สุดา อริยะวัตรกุล หรือ หมออรเจ้าของเพจ เลี้ยงลูกโตไปด้วยกันกับหมออร Hormonefor Kids กุมารแพทย์ต่อมไร้ท่อ เชื่อว่าพ่อแม่ควรเป็นผู้ผลักดันให้ลูกได้ลองทำอะไรที่เหมาะสมกับช่วงวัย พร้อมให้เคล็ดลับว่าในอายุ 2-7 ปี จะเป็นช่วงที่เด็กเรียนรู้ภาษาได้ดีที่สุด ฉะนั้นพ่อแม่จึงควรสนับสนุนให้ลูกเริ่มเรียนภาษาที่สอง เพื่อที่จะได้พัฒนาเป็นทักษะติดตัวและเติบโตขึ้นเป็น Global Citizen
“ทุกคนอยากผลักดันให้ลูกไปในระดับโลก ไปอยู่ในบริษัทต่างประเทศ ซึ่งตอนนี้มันไม่ได้ไกลเกินฝันแล้ว เพราะทุกอย่างในโลกเชื่อมหากันหมด เราไม่ใช่แค่พลเมืองประเทศไทย แต่เราเป็นพลเมืองโลก ทีนี้เราจะเตรียมพร้อมอย่างไรให้ลูกเราเป็น Global Citizen สำหรับเราในฐานะที่ลูกยังเล็ก สิ่งแรกที่เตรียมได้คือภาษา ซึ่งเป็นสิ่งที่ให้ความสำคัญมาก” หมออร ระบุ
ด้าน อมฤต เจริญพันธ์ ที่ปรึกษาด้านนวัตกรรม โรงเรียนนานาชาติ VERSO มองว่าในส่วนของสถาบันการศึกษา นอกจากการมอบความรู้พื้นฐานแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือการปลูกฝังด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี ที่จะช่วยเสริมสร้างให้เด็กๆ ได้เรียนรู้และใช้ประโยชน์จากสิ่งที่สนใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งความสามารถในการเข้าใจกับเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมต่างๆ ตั้งแต่ตอนเด็ก จะทำให้ได้เปรียบอย่างมากในยุคปัจจุบัน
“เรามีการทำงานร่วมกันเป็นทีมกับทางครอบครัว คิดว่าอะไรจะเป็นตัวขับเคลื่อนและเร่งให้น้องๆ สามารถไปในทิศทางที่เขาต้องการได้ สร้างความมั่นใจในตัวเอง และสร้างทักษะที่จำเป็นสำหรับโลกอนาคต พร้อมช่วยค้นหาว่าเขาสนใจหรือไม่สนใจอะไร เปลี่ยนใจได้ ลองใหม่ได้ อย่างที่ VERSO นอกจากให้ความสำคัญกับภาษาแล้ว จึงยังจะเป็นฐานให้เด็กได้เรียนรู้ สร้างความมั่นใจ ให้ทุกคนที่จบไปได้รู้ว่าเขาจะเลือกเดินทางไหนต่อไป” อมฤต ระบุ
เวทีในครั้งนี้จึงเชื่อว่าจะเป็นตัวจุดประกายความคิดได้ไม่มากก็น้อย ให้กับพ่อ แม่ ผู้ปกครองที่กำลังจะต้องเตรียมความพร้อมให้กับบุตรหลาน เพื่อที่จะเติบโตอย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จได้ในโลกยุคใหม่ โลกใบที่เราจะต้องร่วมกันก้าวและเรียนรู้ไปพร้อมกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี