พระองค์ท่านตรัสว่า ให้หาซื้อที่ดินที่ไม่มีใครต้องการ เพราะดินเสื่อม ดินไม่ดี แล้วนำมาปรับปรุงบำรุงดินให้ดีขึ้น เพื่อเป็นโครงการตัวอย่างในอนาคต
ไลฟ์ วาไรตี สัปดาห์นี้ ดร.เฉลิมชัยยอดมาลัย นำคุณไปเที่ยวชมความอุดมสมบูรณ์ของโครงการภูมิรักษ์ธรรมชาติ จังหวัดนครนายก โดยสนทนากับ คุณปัญญา ปุลิเวคินทร์ผู้อำนวยการศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ
l เราสามารถจะเรียกโครงการนี้ว่า โครงการของพ่อแห่งแผ่นดินไทย ได้ไหมครับ เพราะที่ดินผืนเล็กๆ แห่งนี้คือที่ดินที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ซื้อไว้
คุณปัญญา : เรียกได้ครับ เพราะพระองค์ท่านทรงใช้เงินส่วนพระองค์ซื้อไว้ตั้งแต่ปี 2532 พระองค์ตรัสไว้ตอนที่เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรโครงการสร้างเขื่อนขุนด่านปราการชล ตั้งแต่ปี 2519 โดยเสด็จพระราชดำเนินด้วยเฮลิคอปเตอร์ นั่นแสดงว่าในบริเวณนี้ในยุคที่เสด็จพระราชดำเนินยังไม่มีถนนหนทาง และยังค่อนข้างกันดารมาก แต่พระองค์ท่านตรัสว่าในอนาคตเมื่อตรงนี้มีเขื่อนแล้ว จะเกิดแหล่งท่องเที่ยวจะมีถนนหนทาง มีโรงแรม มีรีสอร์ท แต่พระองค์ทรงเป็นห่วงว่าเมื่อความเจริญมาถึงแล้วอาจจะกระทบกระเทือนสภาพภูมิประเทศโดยเฉพาะป่าและเขา จนกระทั่งปี 2532 พระองค์ท่านตรัสว่าให้ช่วยไปหาที่ดินให้สักผืน ทรงต้องการทำที่ดินเพื่อแสดงแนวคิดการดูแลรักษาป่าไม้ มีรับสั่งกำกับว่า อย่าไปซื้อที่ดินดีๆ ที่ชาวบ้านใช้ทำกินแต่ขอให้เลือกที่ดินที่ดินเสื่อมโทรม ดังนั้นคณะทำงานจึงได้กราบบังคมทูลว่าพบที่ดินหนึ่งแปลง พื้นที่ 14 ไร่ 2 งาน 18 ตารางวา เป็นทุ่งนาร้าง ดินเปรี้ยวจัด ใช้เพาะปลูกไม่ได้
l เมื่อทรงซื้อแล้ว ทรงพัฒนาเพื่อปรับปรุงดินด้วยกรรมวิธีอะไรครับ
คุณปัญญา : เมื่อคณะทำงานกลับไปกราบบังคมทูลว่าดินเสื่อมมาก เปรี้ยวมาก พระองค์ท่านรับสั่งว่า ดินเปรี้ยวไม่ใช่ปัญหาเราสามารถปรับปรุงดินให้ดีได้ แต่ต้องใช้เวลาแก้ไข พระองค์รับสั่งว่าเราจะใช้ที่ดินผืนนี้เป็นแม่บทของการปรับปรุงดินเปรี้ยวให้กลับมาเป็นดินดี พระองค์ทรงนำแนวคิดการพัฒนาจากศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทราย อำเภอชะอำเพชรบุรีมาเป็นแนวทาง ทรงบอกว่าที่ห้วยทรายแห้งแล้งมาก แต่ถึงกระนั้นดินทรายก็ยังพอมีธาตุอาหารสำหรับพืชหลงเหลืออยู่บ้าง เพียงแต่ขาดจุลินทรีย์ ดังนั้นต้องช่วยกันเติมจุลินทรีย์ให้ดินโดยต้องห่มดินด้วยใบไม้และหญ้าเพื่อให้ดินมีความชื้น
l ห่มดินหมายถึงมีพืชคลุมดิน มีใบไม้ มีหญ้าคลุมดินไว้ใช่ไหมครับ
คุณปัญญา : ใช้ได้หลายอย่าง เช่นเศษฟาง เศษหญ้า ใบไม้ก็ได้ อย่าเปลือยดินไว้เท่านั้น การห่มดินจะทำให้เกิดจุลินทรีย์ และมีความชื้นในดิน เกิดการสร้างหน้าดินชุดใหม่ กลายเป็นดินมีความอุดมสมบูรณ์
l ใช้เวลานานกี่ปีครับกว่าจะทำให้ดินเสื่อมสภาพกลับมาเป็นดินดีอุดมสมบูรณ์ดังที่เห็นในขณะนี้ ใช้แรงงานมากไหมครับ
คุณปัญญา : ตอนแรก ช่วงแรกๆ ผมไม่ได้เข้ามาดูโครงการ แต่เข้ามาช่วงที่สมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัยกับมูลนิธิชัยพัฒนาส่งมอบโครงการกัน ผมเข้ามาเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2548 ที่นี่มีแค่อาคารหลังเดียว มีต้นไม้ไม่กี่ต้นช่วงที่ผมมานั้นเรียกได้ว่ามาเริ่มต้นใหม่ ทำงานโดยไม่มีเงินเดือน แต่เต็มใจทำ เพราะยังมีเงินเหลือจากบำเหน็จที่ได้จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สามปีแรกของการทำงานที่นี่เรียกได้ว่าเกือบจะอยู่ตัวคนเดียวแต่ผมตั้งใจมาก เพราะผมศึกษาแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาก่อนหน้านี้เป็นระยะเวลา 10 ปี เมื่อมาถึงผมก็ทำตามแนวพระราชดำริทั้งหมด พยายามห่มดินด้วยวัสดุต่างๆที่พอหาได้ ต้องตักน้ำแล้วรดไปตามพื้นดินเพื่อให้ดินมีความชื้น จนกระทั่งเขื่อนปล่อยน้่ำได้ในช่วงปี 2549-2550 ก็เริ่มมีน้ำใช้มากขึ้น เมื่อมีน้ำก็เริ่มมีความชุ่มชื้นมากขึ้น แต่กว่าจะเห็นที่ดินผืนนี้อุดมสมบูรณ์แบบนี้ก็ต้องใช้เวลาปรับปรุงพัฒนานานพอควร แต่เมื่อเราทำตามแนวพระราชดำริก็สามารถฟื้นฟูดินเสื่อมโทรมได้
l มีคำถามว่าบางคนมีที่ดิน แต่อ้างว่าไม่มีคนดูแล และดินในที่ที่มีก็ไม่อุดมสมบูรณ์ บางคนบอกว่าจะขายที่ทิ้ง คุณปัญญามีคำแนะนำอย่างไรครับ
คุณปัญญา : นี่คือปัญหาอย่างหนึ่งของมนุษย์เงินเดือน มีที่ดินแต่ไม่รู้จะจัดการอย่างไร ผมแนะนำว่ามนุษย์เงินเดือนที่อยากเปลี่ยนแปลงชีวิต ขอให้ดูข้อมูลจากยูทูบต่างๆ ที่แนะนำเรื่องการบำรุงดิน ลองพิมพ์คำว่า โคก หนอง นา หรือโครงการพระราชดำริการจัดการดินและน้ำ การจัดการป่า หรือป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง หรือต้องการเรียนรู้แนวพระราชดำริเรื่องใด ก็พิมพ์เข้าไป มีข้อมูลให้ดูมากมาย เมื่อเริ่มเข้าใจแล้ว ก็สามารถไปหาความรู้จากโครงการพระราชดำริต่างๆ เช่น เรื่องดิน น้ำ ป่า ศึกษาให้แตกฉาน แล้วก็ไปอบรมหาความรู้โครงการพระราชดำริต่างๆ เรื่องการจัดการน้ำป่า การกสิกรรมธรรมชาติ แล้วตามดูเครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติ จะมีการอบรมตามศูนย์ทั่วประเทศ อยู่ใกล้จังหวัดไหน ก็ไปรับการอบรมที่นั่นได้ แต่ช่วงโควิด-19 ระบาด อาจจะไม่มีการจัดอบรมครับ เมื่ออบรมแล้ว ก็เดินทางไปดูของจริงมีอยู่ทั่วประเทศ เลือกไปชมได้ ไปดูว่าเขาทำยังไง จะได้นำไปปรับใช้ได้ และเรามีกิจกรรมเอามื้อเอาแรง สามารถไปร่วมกิจกรรมได้ ไปเพื่อได้ทำความรู้จักกับเพื่อนที่สนใจเรื่องเดียวกัน เมื่อมีความรู้แล้วก็กลับไปทำจริงบนที่ดินของเรา
l การอบรมของศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ มีอะไรบ้างครับ จะเข้าไปดูรายละเอียดการอบรมได้จากที่ไหนครับ
คุณปัญญา : เข้าไปดูในเว็บไซต์ศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติครับ ถ้าช่วงไหนมีการอบรม ก็สามารถจองได้ เรามีหลักสูตรต่างๆ ให้เลือกมากมายพอสมควร เลือกดูตามความชอบได้เลยครับ ฝากถึงมนุษย์เงินเดือนที่มีที่ดินนะครับ หากต้องการพัฒนาที่ดินให้ดีขึ้นก็สามารถเรียนรู้เทคนิคการพัฒนาดินได้ เรียนรู้เรื่องการปลูกต้นไม้ การห่มดิน รดน้ำอย่างไรให้มีความชุ่มชื่นนานเป็นสัปดาห์ สำหรับคนที่ไม่ได้อยู่กับที่ดินตลอดเวลา
l ในศูนย์ฯ มีต้นไม้สารพัดชนิด แต่ละต้นติดชื่อไว้พร้อมกับสรรพคุณด้วย
คุณปัญญา ตามปกติแล้วต้นไม้จะมีสรรพคุณมากมาย บางต้นกินใบได้ กินดอกได้ กินผลได้ บางต้นเป็นสมุนไพร บางต้นเป็นอาหาร บางต้นเป็นยา กล่าวได้ว่าต้นไม้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์มีสรรพคุณต่างๆ บางต้นรากเป็นยาใบเป็นยา เรียกได้ว่า รากต้นใบผลเมล็ด ส่วนใหญ่ใช้เป็นยาได้ มีน้อยชนิดเท่านั้นที่เป็นพิษ แต่ก่อนจะกินหรือใช้ต้องดูสรรพคุณให้ดีก่อนเท่านั้น เดี๋ยวนี้หาดูสรรพคุณได้ง่ายมาก ไม่ยากเหมือนสมัยก่อนเพราะเดี๋ยวนี้เข้าไปดูข้อมูลในออนไลน์ที่น่าเชื่อถือได้แต่สมัยก่อนจะหาได้จากการซื้อหนังสือมาอ่านเท่านั้น เดี๋ยวนี้ง่ายดายกว่าเดิมเยอะมาก สงสัยอะไรก็ค้นหาได้จากเว็บไซต์ต่างๆ แต่ขอให้เลือกเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้เท่านั้น อย่าไปดูจากเว็บไซต์ที่ไม่มีที่มาที่ไป เพราะอาจให้ข้อมูลผิดพลาดได้ และทำให้เกิดอันตรายได้
l ในศูนย์แห่งนี้มีต้นไม้สารพัดชนิด ทั้งให้ร่มเงา ให้ดอกผล ใช้เป็นไม้ประดับ และใช้กิน เราจะปลูกต้นไม้ที่มีความแตกต่างกันให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างไรครับ
คุณปัญญา : ตามแนวพระราชดำริของในหลวง รัชกาลที่ 9 พระองค์ท่านทรงสอนให้เราปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ป่าอย่างแรกคือป่าพออยู่ ปลูกเพื่อใช้ไม้ไว้สร้างบ้าน ทำเครื่องเรือนส่วนใหญ่เป็นไม้เนื้อแข็ง ส่วนป่าอย่างที่สอง คือป่าพอกิน ปลูกไม้ไว้กินผล กินใบ กินดอก ป่าอย่างที่สาม คือป่าพอใช้ ปลูกเอาไว้ใช้ทำพลังงานเชื้อเพลิง เช่น ฟืนและถ่าน ส่วนประโยชน์สี่อย่างก็คือ ดินจะดี เพราะใบไม้ร่วงลงมาทับถมห่มคลุมดินเมื่อมีความชุ่มชื้นก็จะมีน้ำอุดมสมบูรณ์ตามมามีของกิน มีของใช้ มีของขาย สร้างรายได้ ตามธรรมชาติแล้วป่าไม้และต้นไม้จะจัดเป็น 5 ชั้น คือ ไม้ชั้นสูง (ต้นสูงมาก) ไม้ชั้นกลาง ไม้ชั้นเตี้ย ไม้ชั้นเรี่ยดิน และไม้ใต้ดิน ไม้ชั้นสูง เช่นพวกไม้เนื้อแข็ง ไม้ป่า ต้นจะสูงมาก เพราะลำต้นใหญ่ ต้องการแดดมาก จึงมีลำต้นสูงกว่าไม้ชนิดอื่นๆ ส่วนไม้ชั้นกลางเป็นไม้ผล สูงไม่เกิน 20 เมตร ต้องการแสงแดงน้อยกว่าไม้สูงมากๆ ไม้ชั้นเตี้ยเป็นพวกพริก มะเขือ ตะไคร้ ต้องการแดดบ้าง ไม้เรี่ยดินก็จำพวกไม้เลื้อย เช่นฟักทอง แตงโม ส่วนไม้ใต้ดินก็เช่น ขิง ข่า กระชาย หอม กระเทียม เป็นต้น ดังนั้นเวลาปลูกต้นไม้จึงต้องดูด้วยว่าไม้แต่ละชนิดต้องการแสงแดดมากน้อยแค่ไหน และให้ประโยชน์อะไรบ้าง ถ้ายังนึกอะไรไม่ค่อยออก หรือนึกออกแต่ยังไม่ชัดเจน ขอให้กลับไปดูแนวพระราชดำริของรัชกาลที่ 9 เรื่องป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง แล้วดูเรื่องโคก หนอง นาโมเดล ก่อน ดูให้เข้าใจ แล้วจึงค่อยลงมือทำ แต่ถ้าหากต้องการเข้ารับการอบรมด้านการเกษตร การดูแลดิน การสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้ผืนดินก็สามารถเข้าไปรับการอบรมหลักสูตรต่างๆ ที่ศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติจัดในโอกาสต่างๆ ได้
คุณจะได้พบรายการดีที่ครบครันด้วยสาระและความรู้ รายการ ไลฟ์ วาไรตีออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา 16.00-16.25 น. ทางโทรทัศน์ NBT กดหมายเลข 2 และชมรายการย้อนหลังได้ที่ YouTube ไลฟ์ วาไรตี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี