จนถึงเวลานี้ คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า จีน คือหนึ่งในประเทศมหาอำนาจที่มีบทบาทบนเวทีโลกมากที่สุด และผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้ก็คือประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ซึ่งเพิ่งจะได้รับการรับรองให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนสมัยที่ 3 อย่างเป็นทางการ หลังจากที่สิ้นสุดการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 20 เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และก็คาดว่าไม่น่าจะมีอะไรพลิกโผ ที่เขาจะได้รับการไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีนต่อในสมัยที่ 3 ซึ่งจะถูกประกาศอย่างเป็นทางการในระหว่างการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติประจำปีที่จะมีขึ้นในเดือนมีนาคมปีหน้า จึงไม่แปลกที่เขาจะถูกยกย่องจากสื่อต่างๆ ทั่วโลกให้เป็นผู้นำจีนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สมัยของประธานเหมา เจ๋อตุง ที่เป็นผู้ก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน
สี จิ้นผิง ขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน หลังการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์สมัยที่ 18 ในเดือนพฤศจิกายนปี 2012 และได้รับการสนับสนุนให้ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีนในเดือนมีนาคมปี 2013 สืบจนมาถึงปัจจุบัน
ว่ากันว่า ผลงานที่โดดเด่นและได้ใจผู้คนชาวจีนมากที่สุดนั้นมีอยู่ 2 เรื่อง นั่นก็คือ ความพยายามในแก้ปัญหาความยากจนในประเทศ ที่ก่อนหน้านี้มีความพยายามในการแก้ปัญหานี้มาตลอด แต่สุดท้ายก็มาสำเร็จในสมัยที่นายสี จิ้นผิง เป็นผู้นำเมื่อปี 2021 ส่วนอีกเรื่องคือ การปราบปรามการทุจริตที่ไม่สนใจว่าจะมีใครอยู่เบื้องหลัง หรือเป็นผู้มีอำนาจมากแค่ไหน
สิ่งที่เขาได้ใจคนจีนทั่วไปเลยคือ เขาสามารถทำสิ่งที่ยากที่สุดของการชำระประวัติศาสตร์ครั้งที่ 2 ได้ นั่นก็คือทำให้คนจีนไม่มีคนจนอีกต่อไป ในอดีตก่อนหน้านี้ เศรษฐกิจจีนสมัยก่อนค่อยๆ เริ่มเปิดและขยายตัวจึงดูเหมือนจะอนุญาตให้คนบางคนรวยก่อนได้โดยเฉพาะบรรดาเจ้าสัวและคนในเมืองใหญ่ แต่ทำยังไงให้คนจนพ้นจากเส้นขีดความยากจน เป็นจุดตายที่จีนพยายามทำมาตลอด แต่ผ่านไป 3-4 ผู้นำก็ยังทำไม่ได้จนมาสำเร็จได้ในสมัยของนายสีจิ้นผิง ในปี 2021
กับอีกเรื่องหนึ่งที่คิดว่าได้ใจประชาชนชาวจีนจำนวมากมากด้วยก็คือเรื่องของการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยไม่เลือกว่าจะเป็นการปราบคอร์รัปชั่นของผู้มีอิทธิพลขนาดใหญ่ที่มองว่าเป็นเสือ หรือการทุจริตเล็กๆ น้อยๆ ที่ สี จิ้นผิงบอกว่าเป็นแมลงวัน แต่สี จิ้นผิงไม่สนหน้าอินทร์ หน้าพรหม เขาปราบทั้งเสือ ปราบทั้งแมลงวัน แล้วมันเป็นสิ่งที่คนจีนเองก็ไม่เชื่อว่าจะมีใครทำได้ แต่เขากลับเอาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีเข้ามาแล้วก็ทำได้
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญมองว่าการดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน 2 สมัยแรกของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง นั้นคาบเกี่ยวอยู่ในช่วงเวลาการชำระประวัติศาสตร์หรือ มติครั้งประวัติศาสตร์ครั้งที่ 2 ของจีน ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 1981 ในสมัยที่นายเติ้ง เสี่ยวผิง เป็นผู้นำจีน ต่อเนื่องเรื่อยมาจนกระทั่งสิ้นสุดลงเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2021 ในสมัยของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่เป็นการเริ่มต้นมติครั้งประวัติศาสตร์ครั้งที่ 3
ส่วนแนวทางการพัฒนาประเทศของจีนนับจากนี้นั้น ตามบทสรุปการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 20 ก็ระบุชัดเจนว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ต้องการนำพาจีนเข้าสู่การเป็นประเทศสังคมนิยมสมัยใหม่แบบรอบด้าน ด้วยการปฏิรูปและปรับใช้แนวคิดใหม่ๆ เพื่อการพัฒนาเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวจีนทุกคนในช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญกับปัญหาความท้าทายใหม่ๆ และแน่นอนว่าทุกอย่างที่ดำเนินการต้องเป็นไปตามแนวคิดพลังงานสีเขียวที่จะช่วยให้มนุษย์และสิ่งแวดล้อมอยู่ร่วมกันได้ในอนาคต
สำหรับความท้าทายที่ผู้นำจีนต้องเผชิญในปีหน้านั้น ผู้เชี่ยวชาญมองว่า หนึ่งในปัญหาสำคัญที่จีนต้องตระหนักมากที่สุดก็คือ ปัญหาเรื่องความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ หนึ่งในประเทศมหาอำนาจของโลก ที่ยังคงตึงเครียดอยู่ในปัจจุบัน โดยมีชนวนมาจากหลากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน หรือเรื่องที่สหรัฐฯ ประกาศให้จีนเป็นคู่แข่งเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญจนนำไปสู่การแข่งขันทางการค้าและเทคโนโลยีระหว่างทั้งสองฝ่าย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญบางคนก็มองว่า แผนพัฒนาเศรษฐกิจของจีนในอีก 5 ปีข้างหน้าที่มุ่งเน้นการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมอาจบรรลุเป้าหมายได้ยาก หากความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ยังไม่ดีขึ้น
ขณะเดียวกัน ความพยายามรับมือการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศ ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องน่ากังวล ที่ สี จิ้นผิง และคณะผู้บริหารพรรคคอมมิวนิสต์ต้องคิดและวางแผนอย่างรอบคอบ หลังจากตลอด 3 ปีที่ผ่านมา จีนใช้มาตรการคุมเข้มตามนโยบายโควิดเป็นศูนย์ ปิดประเทศ จนผู้คนชาวจีนเดือดร้อนกันทั้งหย่อมหญ้า กระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างหนัก จนช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ชาวจีนจำนวนมากทนไม่ไหวออกมารวมตัวประท้วงต่อต้านมาตรการคุมเข้ม และบางส่วนส่งเสียงขับไล่สี จิ้นผิง ในเวลาเดียวกัน ซึ่งแทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ส่งผลให้ในที่สุด รัฐบาลจีนก็ยอมผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มด้วยการลดข้อบังคับต่างๆ ลงเกือบทั้งหมด เป็นไปในแนวทางการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับโควิดเหมือนกับประเทศอื่นๆทั่วโลก
แต่เพราะไม่มีการควบคุมแล้ว นั่นทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในจีนพุ่งขึ้น จนผู้ป่วยล้นโรงพยาบาลในหลายเมืองทั่วประเทศช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา สร้างความกังวลว่าจีนจะมีความสามารถรับมือการแพร่ระบาด ที่อาจส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากโควิดนับล้านๆ คนในปีหน้า ตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์หรือไม่
นี่จึงเป็นอีกหนึ่งความท้าทาย ที่สี จิ้นผิง จะต้องเร่งหาทางออกให้ได้โดยเร็ว
โดย ดาโน โทนาลี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี