“หัวใจวาย” หรือ กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน เป็นโรคที่พบได้เรื่อยๆ ปัจจุบันพบว่า อายุเฉลี่ยของผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องอายุมากเสมอไปร่างกายภายนอกดูแข็งแรง แต่แท้จริงแล้วอาจมีภาวะหลอดเลือดตีบซ่อนอยู่เพราะฉะนั้น ไม่ควรชะล่าใจละเลยการตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะสุขภาพของหัวใจ
นายแพทย์ศุภสิทธิ์ สถิตย์ตระกูล อายุรแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลเวชธานี กล่าวว่า หัวใจวายเฉียบพลันเกิดจากการที่หลอดเลือดหัวใจอุดตันจนกล้ามเนื้อหัวใจเกิดการขาดเลือดไปเลี้ยงจนเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจตาย สาเหตุเกิดจากการสะสมของคราบไขมันที่บริเวณผนังหลอดเลือดหัวใจจนเกิดการปริหรือแตก กระตุ้นให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันการไหลเวียนของเลือดอย่างฉับพลันทันที ปัจจัยที่ส่งเสริมทำให้หลอดเลือดเสื่อมเร็วกว่าปกติ ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูงเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง น้ำหนักเกินเกณฑ์หรือโรคอ้วน การสูบบุหรี่ ความเครียด ขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และโรคทางพันธุกรรมบางอย่าง หรือการมีประวัติญาติสายตรงเป็นโรคหัวใจ จึงทำให้ปัจจุบันพบผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันที่มีอายุน้อยกว่าสถิติมากขึ้นเรื่อยๆ
อาการที่สังเกตได้เบื้องต้น ได้แก่ เจ็บ แน่นหน้าอก อึดอัด หรือรู้สึกไม่สบายตรงกลางหน้าอก อาจมีอาการเจ็บร้าวไปที่คอ กราม ขากรรไกร หรือต้นแขน อาการร่วมอื่นๆ เช่น เวียนศีรษะ หายใจไม่สะดวก คลื่นไส้อาเจียน เป็นต้น โดยอาการเหล่านี้อาจเป็นนานกว่า 15 นาที และจะไม่ทุเลาลงด้วยการพักหรือการได้รับยาอมใต้ลิ้น นอกจากนี้ ในบางรายอาจหายใจหอบเหนื่อย หน้ามืด หมดสติ หรือหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้ โดยผู้ป่วยควรต้องรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุดหรือเรียกรถฉุกเฉินของโรงพยาบาลทันที
ปัจจุบันการตรวจสุขภาพประจำปีจะช่วยคัดกรองความเสี่ยงและหาวิธีที่จะป้องกันภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันได้แนวทางการตรวจหาภาวะหัวใจขาดเลือดในปัจจุบันมีหลายวิธี ได้แก่
1.การตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย(Exercise stress test : EST) เรียกสั้นๆว่าการวิ่งสายพาน ใช้ตรวจหาความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือดขณะออกกำลังกายหนักๆ ดังนั้น หากผู้ที่มภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ การทดสอบนี้จะทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ มีผลทำให้คลื่นไฟฟ้าหัวใจเปลี่ยนแปลงไป
2.การตรวจคราบหินปูนในหลอดเลือดหัวใจ (Coronary artery calcium scoring) เป็นการใช้เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ตรวจหาหินปูนที่บริเวณหลอดเลือดแดง หากค่ายิ่งสูงจะมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจที่สูงตามไปด้วย
3.ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หลอดเลือดหัวใจ(coronary CCTA) เพื่อดูว่ามีหลอดเลือดหัวใจตีบ-ตัน หรือความผิดปกติอื่นๆ หรือไม่ ซึ่งผู้ที่เข้ารับการตรวจวิธีนี้จะได้รับสารทึบรังสีเพื่อให้ได้ภาพเอกซเรย์ที่ดีที่สุด 4.การสวนหัวใจ (Cardiac Catheterization Angiography : CAG) คือการสอดสายสวนขนาดเล็กผ่านหลอดเลือดแดง แล้วจึงฉีดสารทึบรังสีบริเวณหลอดเลือดหัวใจเพื่อบันทึกลักษณะความผิดปกติของหลอดเลือดหัวใจทั้งการอุดตันและการตีบตัน และทำการรักษาอาการผิดปกติของผู้ป่วยได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม การรักษาผู้ป่วยหัวใจวายเฉียบพลันในปัจจุบันมีทั้งการให้ยาละลายลิ่มเลือดและการขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูนและใส่ขดลวดค้ำยัน (stent) สำหรับการขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูนนั้น ผู้ป่วยจะไม่มีแผลผ่าตัด พักฟื้น
ในโรงพยาบาลไม่นาน ฟื้นตัวได้เร็ว แต่ในกรณีที่หลอดเลือดหัวใจตีบตันหลายเส้นหรือแพทย์ประเมินแล้วว่าไม่สามารถรักษาด้วยวิธีนี้ได้ แพทย์อาจพิจารณาการรักษาด้วยการผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ
ที่สำคัญการรักษาภาวะหัวใจวายขึ้นกับเวลา ควรทำให้แล้วเสร็จภายใน 60-90 นาที เพื่อเปิดหลอดเลือดที่อุดตัน
ให้เร็วที่สุด ซึ่งจะช่วยลดโอกาสเสียชีวิตของผู้ป่วยหรือการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวในอนาคต อีกทั้งยังเพิ่มโอกาสการกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงคนปกติมากที่สุดของผู้ป่วยด้วย ดังนั้น หากมีอาการที่บ่งบอกถึงภาวะหัวใจวาย ผู้ป่วยควรรีบบอกคนรอบข้างและมาพบแพทย์ให้เร็วที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี