“ถ้าเด็กอยากเล่นอะไรเราก็ต้องอำนวยความสะดวกให้เขาได้เล่น หรือถ้าเราอยากให้เด็กเรียนรู้เรื่องอะไร เราก็จะต้องสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ และเราจะพบว่าการเล่นนั้นสามารถบ่งบอกถึงพรสวรรค์ของเด็กได้”
เป็นคำกล่าวของ “ครูนิ้ง” กัญญาวีร์ ฟักทอง จาก “ศูนย์เรียนรู้บ้านเรียนฟักทอง” อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ถึงคุณค่าและความสำคัญของการเล่น ที่ได้ค้นพบจากประสบการณ์ในการทำงานเป็นครูอาสาทำงานกับเด็กๆในชุมชน สั่งสมองค์ความรู้จนต่อยอดมาสู่การจัดการเรียนรู้แบบ Home School ให้กับลูกๆ ทั้ง 3 คน ด้วยแนวคิด “เรียนไปเล่นไป อยากทำอะไร ก็ได้ทำ”
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สถานที่อันสงบร่มรื่นกลมกลืนไปกับธรรมชาติและท้องทุ่งนาตามวิถีเกษตรกรรมของบ้านเรียนฟักทองนั้น ได้ถูกใช้เป็นพื้นที่เล่นเรียนรู้ผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์ทั้งดนตรี กีฬา ศิลปะ ทักษะชีวิต ฯลฯ เพื่อพัฒนาเด็ก เยาวชน และครอบครัวในพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง แต่การเกิดขึ้นของสถานการณ์โควิด-19 ทำให้เด็กๆ ถูกกักตัวอยู่แต่ในบ้านพร้อมความหวาดกลัวและหวาดระแวง จนต้องเผชิญกับปัญหาการเรียนรู้ถดถอยหรือ Learning Loss ที่ส่งผลต่อพัฒนาการทุกๆ ด้าน
“การเล่น สามารถเติมเต็มการเรียนรู้ถดถอยให้เด็กได้ เป็นการบ่มเพาะเด็กให้เรียนรู้ว่าในทุกวิกฤตมีทางออก พวกเขาสามารถปฏิบัติตามกฎกติกาของสังคมได้โดยไม่ต้องสูญเสียความสุขไป” ครูนิ้ง เล่าถึงประโยชน์ของการเล่นท่ามกลางสภาวการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้น
ดังนั้น เมื่อเด็กต้องการเล่น แต่ออกนอกพื้นที่ไม่ได้ในระยะแรกครอบครัวฟักทองจึงแก้ปัญหาด้วยการขับมอเตอร์ไซค์พ่วงรถเข็น นำของเล่นและอุปกรณ์สนับสนุนการเล่นไปส่งให้ถึงบ้าน เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายก็เริ่มสำรวจพื้นที่ในชุมชน “บ้านหัวแท” และ “บ้านแหลมโพธิ์” ว่ามีที่ไหนที่เด็กๆ ชอบไปรวมตัวกัน ก็จะนำรถตู้คันเล็กๆ ใส่ของเล่นไปจอดไว้ใต้ร่มไม้ หรือศาลาอเนกประสงค์ของหมู่บ้าน
ครูนิ้ง-กัญญาวีร์ ฟักทอง
เริ่มจากการนำของไปให้เด็กเล่น ต่อมาก็เริ่มชวนเชิญเด็กและผู้ปกครองทำของเล่น อยากเล่นอะไรก็ทำสิ่งนั้น ขยายผลไปสู่การขอความร่วมมือจากคนในชุมชนที่เริ่มเห็นความสำคัญของการเล่น มองหาพื้นที่ว่างเพื่อสร้างเป็นพื้นที่เล่นให้กับเด็กๆ ที่ต่อมาได้พัฒนาจนเป็น การส่งเสริมการเล่นอิสระในชุมชน ตามหย่อมบ้าน “เล่นหย่อมบ้าน” โดยมี สถาบันสื่อเด็กและเยาวชน (สสย.), มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก (มพด.) และสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ให้การสนับสนุน เพื่อเติมเต็มความสุขและความทรงจำดีๆ ในวัยเด็ก สร้างการเรียนรู้ที่หลากหลายผ่านการเล่นแบบองค์รวม หรือ Soft Skill ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้เด็กที่จะเติบโตขึ้นเป็นกำลังสำคัญของชาติสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในโลกอนาคตได้เป็นอย่างดี
“ข้อดีที่สำคัญของการเล่นหย่อมบ้าน คือเด็กสามารถเข้าถึงการเล่นได้ทุกวัย ซึ่งที่ผ่านมาคนในชุมชนจะไม่มีความรู้และไม่เข้าใจการเล่นให้ความสำคัญกับการเรียน มองว่าการเล่นไม่มีความจำเป็น แต่เมื่อมีการเล่นในพื้นที่ของหย่อมบ้านพ่อแม่ตายายก็จะได้เห็นว่าเด็กเล่นแล้วเป็นอย่างไร มีความสุขแค่ไหน ได้ทำอะไรบ้างจากการที่เด็กๆ ก็จะนำผลงานมาโชว์เราก็จะสนับสนุนอุปกรณ์การเล่นเพื่อให้เขาได้กลับไปเล่นที่บ้านด้วย ผู้ปกครองก็จะเริ่มสังเกตและเข้าใจว่าเด็กชอบเล่นอะไร เห็นพรสวรรค์ เห็นความสนใจในเรื่องต่างๆ ในตัวของเด็ก และเข้าใจการเล่นมากขึ้น ก็เริ่มเข้ามาร่วมเป็นอาสาสมัครและเปิดบ้านให้เด็กได้เล่นอย่างมีความสุข” ครูนิ้ง ระบุถึงข้อดีของการเล่นหย่อมบ้าน
ทางด้าน ย่าอ่อน ยิ้มมาก ผู้ปกครองของ “น้องนิค” และ “น้องนัท” ที่เปิดพื้นที่ใต้ร่มไม้ใหญ่ข้างบ้านให้เป็นพื้นที่เล่นเรียนรู้ของเด็กๆ เล่าว่า การเล่นทำให้เด็กร่าเริง และมีความสุขส่วนตนเองอายุมากแล้วจะพาเด็กออกไปที่ไหนก็ลำบากและมีค่าใช้จ่าย จึงอยากให้มาจัดกิจกรรมที่บ้านเพื่อให้เด็กในชุมชนได้มีที่เล่นสนุก เพราะหลานเล่นกันเองแค่ 2 คนก็เหงา แต่พอมีแบบนี้เขาก็จะสนุกเพราะมีเพื่อนเล่น และครูก็จะมาช่วยสอนวิธีในการช่วยดูแลเด็กๆ ระหว่างที่เล่นด้วย
อานิสา ส่งประสาทศิลป์ คุณแม่ของ “น้องเนส” และ “น้องปาน” เล่าถึงการเล่นหย่อมบ้านว่า มีประโยชน์มากเพราะตนเองต้องทำงานและไม่สามารถพาออกไปเที่ยวหรือไปแหล่งเรียนรู้ที่อื่นๆ ได้
“เด็กๆ ได้เล่นอย่างอิสระ ได้วาดรูป ทำงานประดิษฐ์ และยังมีของให้ไปเล่นต่อที่บ้าน ส่วนตัวของน้องเนสชอบวาดรูปและมีพรสวรรค์ในเรื่องนี้ ก็เลยไม่ห้ามและสนับสนุน โดยเฉพาะที่ผนังบ้านตอนนี้มีแต่ภาพวาดฝีมือของลูกสาวเต็มไปหมดทุกวันหยุดลูกๆ จะคอยถามถึงครูและพี่ๆ ตลอด และรอคอยที่จะได้มาเล่นสนุกกับเพื่อนๆ ส่วนน้องปานชอบเล่นขายของ” แม่อานิสา กล่าว
พื้นที่เล่นหย่อมบ้านข้างบ้านของย่าอ่อน ในวันนี้ได้มีจัดทำชิงช้า โดยความร่วมมือร่วมใจของคนในชุมชนเพื่อให้เด็กๆ ได้มีของเล่นจากธรรมชาติ เท่าที่เห็นการเล่นหย่อมบ้านนั้นเรียบง่าย ไม่มีพิธีรีตอง ของเล่นต่างๆ ถูกหยิบมาจัดวาง และถูกนำไปประกอบการเล่นได้อย่างอิสระตามแต่จินตนาการของเด็กแต่ละคน โดยมี “พี่ (เป็นเพื่อน) เล่น” ทำหน้าที่เป็น “PlayWorker” ที่คอยอำนวยสะดวก สนับสนุนและช่วยเหลือในสิ่งที่เด็กๆ ถามหา ที่เหลือก็ปล่อยให้การเล่นสนุก นำพาไปสู่ความสุขและการเรียนรู้โดยเริ่มต้นการทดลองทำทั้งผิดและถูกจนเจอผลลัพธ์ด้วยตัวของแต่ละคนเอง
การ “เล่นหย่อมบ้าน” จากการขับเคลื่อนของศูนย์เรียนรู้บ้านเรียนฟักทอง ได้ขยายพื้นที่ทำงานออกไปในทั้งสองชุมชน โดยมีพื้นที่แห่งความสุขมากกว่า 5 จุด มีเด็กและเยาวชนที่ได้รับการดูแลไม่น้อยกว่า 100 คน รวมไปถึงมีการจัดกิจกรรมการเล่นลงไปในโรงเรียนขยายโอกาสในพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ มีการพัฒนาเครือข่าย Play Worker จิตอาสาเข้ามาร่วมกันทำงาน ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากความต้องการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในชุมชนให้กับเด็กๆ ของครูนิ้งและครอบครัว พร้อมกับเตรียมยกระดับพื้นที่ในปัจจุบันไปสู่การเป็น “มานา มานะ Learning Space” เพื่อต่อยอดไปสู่การเป็น Farm / Home Stay & Cafe และปักหมุดหมายใหม่ของพื้นที่เรียนรู้ที่ใช้การเล่นเป็นสื่อกลางให้กับคนทุกเพศวัย โดยมีเป้าหมายในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับสถาบันครอบครัว
“การเล่นทำให้เด็กมีพื้นที่ความทรงจำที่ดีและสามารถเยียวยาสภาพจิตใจจากภาวะซึมเศร้าที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมปัจจุบันได้ เพราะในความเป็นมนุษย์มีมิติการเรียนรู้ที่สำคัญสองด้าน คือ Hard Skill หรือความรู้ด้านวิชาการ และ Soft Skill ที่จะเกิดขึ้นผ่านการเล่นที่ช่วยสร้างให้เกิดการเรียนรู้แบบองค์รวม ซึ่งเป็นทักษะทางสังคมที่มีความสำคัญเพื่อการปรับตัวและมีชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ปัจจุบันเราอาจไม่ได้ต้องการของเล่นหรือพื้นที่เล่น แต่เราต้องการสังคมที่มีทัศนคติและเข้าใจคุณค่าของการเล่นและเห็นความสำคัญของเด็กๆ ครูก็สามารถที่จะสอนผ่านการเล่นได้โดยวิชาการไม่ได้หายไป เพราะการ Play & Learn ไปพร้อมกันนั้นเด็กจะจดจำได้มากกว่าการท่องจำ ส่วนพ่อแม่สามารถนำวิชาชีวิตมาใช้เป็นกิจกรรมที่สร้างการเรียนรู้ร่วมกันในครอบครัวได้” ครูนิ้งกล่าวสรุป
การ “เล่น” ในวันนี้จึงไม่เรื่อง “เล่นๆ” อีกต่อไป เพราะการเล่นของเด็กๆ เชื่อมโยงไปสู่การสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว ที่มีผลลัพธ์คือสถาบันครอบครัวและสังคมที่เข้มแข็ง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี