ตำบลบ้านสะแกกรัง
พื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาแต่เดิมตรงคุ้งสำเภานั้นแผ่นดินติดต่อกันจากเกาะเทโพไปจนถึงตำบลวัดสิงห์ โดยมีแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ด้านตะวันออก มีแม่น้ำสะแกกรังไหลขนาบด้านตะวันตกเข้าพื้นที่เมืองไชยนาทตรงตำบลวัดสิงห์ สภาพปัจจุบันนี้น้ำเซาะแผ่นดินขาดเป็นเกาะและรวมแม่น้ำสองสายเป็นสายเดียวกัน คือบริเวณปากคลองมะขามเฒ่า มีลำน้ำไหลต่อไปยังเมืองสรรคบุรี แล้วเข้าเมืองสุพรรณบุรี เรียกแม่น้ำสุพรรณบุรี ผ่านเมืองนครไชยศรี เรียกแม่น้ำนครไชยศรี และออกอ่าวไทยตรงเมืองมหาชัยซึ่งเดิมมีด่านเก็บตรวจเรือสินค้าจีน จึงเรียกว่า แม่น้ำท่าจีน สรุปแล้ว ทั้งแม่น้ำสะแกกรัง แม่น้ำมะขามเฒ่า แม่น้ำสุพรรณบบุรี แม่น้ำนครไชยศรีนั่นคือแม่น้ำท่าจีนสายเดียวกัน ระหว่างทางของแม่น้ำสายนี้ มีคลองสาขาเป็นระยะๆ ซึ่งคลองบางแห่งนั้น สามารถเข้าไปยังกรุงศรีอยุธยาได้
หากสำรวจเส้นทางลำน้ำเดิมแล้วจะเห็นว่าเป็นเส้นทางด้านตะวันตกที่ใช้ขนส่งภาชนะดินเผา พืชพันธุ์ธัญญาหารของป่า ทางเรือไปยังตำบลและเมืองต่างๆ แม้ว่าจะมีแม่น้ำเจ้าพระยาด้านตะวันออกอยู่ก็ตาม ด้วยเหตุนี้จึงพบว่ามีแหล่งเตาเผาภาชนะอยู่แถบลำน้ำน้อย ลำน้ำสะแกกรัง ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักของเมืองอุไทยธานี หรือ เมืองอุทัยเก่า โดยมีท่าเรืออยู่ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยาส่งสินค้าเข้าออก โดยเฉพาะมูลค้างคาว ของป่า ไม้ซุง จึงเรียกว่า ท่าซุง อยู่ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยาตรงคุ้งสำเภา และมีท่าช้างอยู่ลึกเข้าไปส่งช้างข้ามเกาะเทโพไปรวมกันที่เมืองมโนรมย์เก่าคือวัดจวน ด้วยเหตุเมืองอุไทยธานีเก่ามีป่าไม้ผืนใหญ่และเป็นเมืองด่านชั้นนอกที่ทำหน้าลาดตระเวนดูแลทางเข้า-ออกมาแต่ครั้งพระนเรศวร และพระเอกาทศรถ ปรากฏชื่อด่านสำคัญอยู่หลายแห่งเช่น ด่านเมืองอุทัย (คลองค่าย) ด่านทัพเสลา ด่านแม่กลอง ด่านหนองหลวง ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่อำเภออุ้มผาง หลังสุดมีขุนหลวงสรวิชิต (หน) เป็นนายด่านในสมัยกรุงธนบุรี
จดหมายเหตุ ร.๓ ย้ายบ้านสะแกกรัง
เมื่อสมัยต้นรัตนโกสินทร์ราว พ.ศ.๒๓๗๖ เจ้าเมืองอุไทยธานีคนใหม่เป็นชาวกรุงเทพฯ ได้เดินทางมาว่าราชการที่เมืองอุไทยธานีเก่า ซึ่งเป็นที่ดอน ได้เห็นว่าถ้ามาอยู่เสียที่ตำบลสะแกกรังก็จะมีแม่น้ำเป็นเส้นทางไปกรุงเทพฯได้ง่ายไม่ลำบากในการเดินทาง แล้วยังสามารถให้ผู้คนหาเลี้ยงชีพได้สะดวกกว่า จึงขอพระยาไชยนาทซึ่งเป็นเพื่อนกัน ตั้งบ้านเรือนขึ้น นัยว่ากลัวความไข้ไม่กล้าขึ้นไปว่าราชการเมืองอุไทยธานีเก่า ขณะนั้นบริเวณป่าสะแกที่อยู่ลึกเข้าไปนั้นได้ถูกตัดไม้สะแกมาทำถ่านถลุงเหล็กที่ท่าซุง จึงมีพื้นที่กว้างอยู่ริมแม่น้ำ เหลืออยู่แต่ต้นสะแกขนาดใหญ่จึงให้สร้างบ้านพักและศาลาว่าการเมืองขึ้น แล้วให้ข้าราชการ ผู้คนพากันมาอยู่เสียที่แห่งใหม่ที่มีต้นสะแกอยู่กลางบ้าน จึงเป็นที่มาของชื่อ สะแกกรังทั้งแม่น้ำและตำบล เดิมเรียกแม่น้ำมะขามเฒ่า สมัยรัชกาลที่ ๓ เมื่อกิจการถลุงเหล็กที่ท่าซุงเลิกกิจการลง ชาวจีนที่เป็นคนงานถลุงเหล็กจำนวนหนึ่งจึงพากันย้ายเข้าไปตั้งบ้านร้านรวงในที่แห่งใหม่ เช่นเดียวกันผู้คนในตำบลที่อยู่ตามตำบลต่างๆ เช่น หนองเต่า หนองแก หนองพังค่า ทุ่งนาไทยทัพทัน โกรกพระ ได้พากันมาอยู่ที่เมืองใหม่จนเป็นตลาดใหญ่ จนเกิดปัญหาในการเก็บเงินอากรสมพัตรสรตลาด เงินค่าเสนาอากร ไม่ชำระกัน จึงต้องมีการแบ่งปันเขตแดนที่ไม่ถูกต้องกับสภาพจริงเสียใหม่ เมื่อ พ.ศ.๒๓๙๑ ซึ่งปรากฏความในจดหมายเหตุ คือ ร่างสารตราเลขที่ ๑๔๐/๒ จ.ศ.๑๒๑๐ ซึ่งมีความตอนหนึ่งว่า “พระยาอุไทยธานี จะครอบงำเอาที่บ้านเนินตูม บ้านเนินกำแพง บ้านหนองเต่า เป็นเมืองอุไทยธานี ปรารถนาจะได้ปลูกสร้างต้นผลไม้และทำไร่กัน...ที่จะตั้งอากรสมพัสษรไม่ให้นายอากรเรียกเอาด้วย ฝ่ายเมืองไชยนาทไม่ยอม เป็นความวิวาทกันอยู่ไม่รู้แล้ว เดี๋ยวนี้พระยาไชยนาทกลับมาแต่ราชการทัพ พระยาอุไทยธานี พระยาไชยนาทก็เป็นเจ้าเมืองผู้ใหญ่เขตแดนเกี่ยวข้องกันอยู่อย่างไร ก็ให้นัดหมายดูแล พูดจาปรึกษาหารือกัน จะเป็นที่เขตแดนเมืองใดก็ให้ว่ากันเสียเด็ดขาด ตกลงเป็นที่เมืองไชยนาทฯ จะได้นำเรียนเงินอากรสมพัสษรต่อไป...” สรุปในที่สุดว่า เมืองอุไทยธานี แบ่งเขตแล้วมีแขวง ๔ แขวง คือ แขวงหนองขุนชาติ แขวงหนองกระดี่ แขวงหนองหลวง แขวงแม่กลอง สำหรับแขวงหนองขุนชาตินั้นต่อมากลับไปเป็นแขวงอุทัยเก่า ส่วนแขวงอุทัยใหม่นั่นคือ ตำบลบ้านสะแกกรัง ที่ตั้งเมืองอุไทยธานีหากนับแต่ พ.ศ.๒๓๗๖ ก็ ๑๙๐ ปี หากจะเอาสารตราแบ่งเขตใน พ.ศ.๒๓๙๑ ก็ ๑๗๕ ปี ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องใหม่ที่เป็นหมุดหมายจัดฉลองเมืองกัน ถ้ายังใส่ใประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี