โรคที่มาจากนกและส่งผลต่อสุขภาพของคนมีหลายชนิดเช่น โรคคริปโตคอกโคสิส (Cryptococcosis) ที่เกิดจากเชื้อรา Cryptococcus neoformans ที่พบในมูลนกพิราบ สามารถส่งผลกระทบต่อปอดและอาจลุกลามไปยังสมอง โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ที่สามารถเกิดจากการสูดดมละอองของมูลนกพิราบชนิดแห้ง อาจทำให้เกิดอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต โรคไข้หวัดนก โดยเฉพาะสายพันธุ์ H5N1 ซึ่งสามารถติดต่อจากนกสู่คนได้ มีอาการคล้ายไข้หวัดทั่วไป และ โรคซิตตาโคซิส (Psittacosis) หรือโรคไข้นกแก้ว เป็นต้น เพื่อความปลอดภัย ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสนกและมูลนกโดยตรง และใช้หน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ใกล้นกหรือทำความสะอาดพื้นที่ที่นกอาศัยอยู่
ข้อมูลจาก ผศ.ดร.ทนพ.เมธี ศรีประพันธ์ ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า โรคไข้นกแก้วหรือโรคซิตตาโคซีส (Psittacosis) มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ชื่อว่าคลามัยเดีย ซิตตาซี (Chlamydia psittaci) (ชื่อใหม่ของเชื้อนี้คือ คลามัยโดฟิล่า ซิตตาซี (Chlamydophila psittaci) เนื่องจากเชื้อชนิดนี้พบครั้งแรกในนกแก้วจึงเรียกโรคที่เกิดขึ้นว่า “โรคไข้นกแก้ว” โดยทั่วไปแล้วแบคทีเรียชนิดนี้ทำให้เกิดการติดเชื้อในนกชนิดต่างๆ เช่น นกแก้วนกพาราคีท นกพิราบ นกกระจอกและ นกคีรีบูน นอกจากนี้ยังสามารถพบเชื้อนี้ได้ในสัตว์ปีกชนิดอื่นๆ เช่น เป็ดและไก่งวง รวมถึงพบในสัตว์ที่ใกล้ชิดกับนกหรือสัตว์ปีก เช่น สุนัข แมว ม้า และหมู ในปัจจุบันพบรายงานการระบาดของโรคไข้นกแก้ว (Psittacosis) ในประเทศแถบยุโรป เช่น ออสเตรีย เดนมาร์ก เยอรมนี สวีเดน และเนเธอร์แลนด์ รวมถึงมีรายงานผู้เสียชีวิตในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2567 ที่ผ่านมา สำหรับประเทศไทยเคยมีรายงานการระบาดของโรคไข้นกแก้วครั้งแรกในปี 2539 และจากข้อมูลของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (9 มีนาคม 2567) พบว่าปัจจุบันยังไม่มีรายงานผู้ป่วยที่เป็นโรคไข้นกแก้วในประเทศไทย ในบทความฉบับนี้เราจะมาทำความรู้จักกับโรคดังกล่าวเพื่อเป็นข้อมูลในการเฝ้าระวังและดูแลตนเองต่อไป
การติดต่อและกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคไข้นกแก้ว
การติดเชื้อไข้นกแก้วพบได้ในทุกกลุ่มอายุ โดยกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ได้แก่ ผู้ที่ทำงานหรือมีพฤติกรรมใกล้ชิดกับนกและสัตว์ปีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่เลี้ยงนกเป็นสัตว์เลี้ยง รวมถึงผู้ที่ประกอบอาชีพเกี่ยวข้องกับนกและสัตว์ปีก เช่น ผู้ที่เลี้ยงนกหรือให้อาหารนก พนักงานในร้านขายอุปกรณ์เลี้ยงนก ผู้ที่ทำงานในร้านค้าจำหน่ายสัตว์เลี้ยง ผู้ที่ทำงานในฟาร์มสัตว์ปีก สัตวแพทย์และผู้ช่วยสัตวแพทย์ คนได้รับเชื้อผ่านการสัมผัสมูลนกหรือสารคัดหลั่งจากระบบทางเดินหายใจของนกที่ติดเชื้อ รวมถึงการสูดดมเอาละอองของมูลนกแห้งหรือขนนกที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าไป นอกจากนี้คนอาจมีโอกาสได้รับเชื้อจากการสัมผัสกับปากของนกหรือถูกนกกัดโดยตรง อย่างไรก็ตามยังไม่มีรายงานการแพร่เชื้อจากคนสู่คนรวมถึงการติดต่อผ่านการรับประทานเนื้อของสัตว์ปีกที่ติดเชื้อซึ่งโอกาสดังกล่าวพบได้น้อยมาก
อาการของโรคไข้นกแก้ว
เชื้อก่อโรคไข้นกแก้วมีระยะฟักตัว 5-14 วันซึ่งอาการของผู้ป่วยโดยทั่วไปจะคล้ายกับโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจชนิดอื่นๆ โดยอาการมักไม่รุนแรงหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย อาการที่พบบ่อยได้แก่ มีไข้ หนาวสั่นปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อและไอแห้ง
นอกจากนี้ ในผู้ป่วยบางกลุ่มโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุและผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องอาจพบอาการรุนแรงหรืออาการแทรกซ้อนอื่นๆ ที่อาจทำให้เสียชีวิตได้ เช่นปอดอักเสบ เยื่อบุหัวใจและลิ้นหัวใจอักเสบ ตับอักเสบและการติดเชื้อในระบบประสาทรวมถึงการติดเชื้อในกระแสเลือด อย่างไรก็ตาม อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคนี้มีน้อยมาก (น้อยกว่าร้อยละ 1)
การวินิจฉัยโรคไข้นกแก้ว
เนื่องจากอาการของผู้ป่วยโรคนี้คล้ายกับอาการของโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจชนิดอื่นๆ ดังนั้น การวินิจฉัยโรคจึงอาศัยอาการแสดงทางคลินิกร่วมกับประวัติเสี่ยงหรือประวัติการสัมผัสใกล้ชิดกับนก ที่เลี้ยงหรือสัตว์ปีกชนิดอื่นๆ นอกจากนี้ อาจมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมเพื่อยืนยันการติดเชื้อ เช่น การตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อจากเลือด การเพาะเชื้อ การตรวจหาสารพันธุกรรมหรือชิ้นส่วนโปรตีน (แอนติเจน) ของเชื้อจากตัวอย่างที่เก็บจากระบบทางเดินหายใจของผู้ป่วย เช่น เสมหะ รวมถึงตัวอย่างตรวจที่เก็บจากคอหอยส่วนจมูก (nasopharynx) หรือคอหอยหลังช่องปาก (oropharynx)
การรักษาโรคไข้นกแก้ว
โรคนี้รักษาได้โดยการใช้ยาปฏิชีวนะในกลุ่ม macrolides หรือ tetracyclines รวมถึงการรักษาตามอาการที่พบในผู้ป่วย นอกจากนี้การได้รับยาปฏิชีวนะอย่างรวดเร็วและทันท่วงทีจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนหรืออาการรุนแรงได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่หายจากโรคนี้มีโอกาสติดเชื้อหรือเป็นโรคนี้ซ้ำอีกครั้งได้
การป้องกันโรคไข้นกแก้ว
ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคไข้นกแก้ว แต่มีวิธีการป้องกันตนเองจากการติดเชื้อ ได้แก่ หลีกเลี่ยงการสัมผัสนกรวมถึงสัตว์ปีกที่ป่วย หากต้องปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องหรือใกล้ชิดกับนกและสัตว์ปีก ควรสวมเสื้อผ้าและเครื่องป้องกันให้มิดชิดรวมทั้งสวมหน้ากากอนามัยและสวมถุงมือให้เหมาะสม ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่หรือน้ำยาฆ่าเชื้อทุกครั้งภายหลังการปฏิบัติงานหรือสัมผัสใกล้ชิดกับนกหรือสัตว์ปีก รวมถึงหมั่นคอยสังเกตอาการของตนเองและสัตว์อยู่เสมอ นอกจากนี้ถ้ามีอาการสงสัยว่าจะติดเชื้อดังกล่าว เช่น มีไข้และอาการทางระบบทางเดินหายใจร่วมกับมีประวัติในการสัมผัสนกหรือสัตว์ปีก ควรรีบพบแพทย์ทันที หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://pharmacy.mahidol.ac.th/th/service.php
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี