กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แนะนำให้โรงเรียน สถานศึกษา และโรงเรียนอนุบาล เตรียมป้องกันโรคติดต่อที่สำคัญในเด็ก เช่น โรคติดต่อทางเดินหายใจ โรคมือ เท้าปาก เน้นคัดกรองเด็กป่วยก่อนเข้าเรียนทุกเช้า เพิ่มจุดบริการล้างมือ เน้นย้ำให้นักเรียน และบุคลากรในโรงเรียน รักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล ล้างมือบ่อยๆ สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในสถานที่ปิด (เช่น ห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศ) หรือแออัด หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยระบบทางเดินหายใจ รวมถึงหมั่นทำความสะอาดสถานที่ สิ่งแวดล้อม สิ่งของ เครื่องเล่น ของใช้ ที่เด็กๆ ใช้ร่วมกันบ่อยๆ และกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย เพื่อป้องกันโรคไข้เลือดออก
แพทย์หญิงจุไร วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ ผู้ช่วยอธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนและเป็นช่วงเปิดเทอม เป็นช่วงที่จะมีการระบาดของโรคติดต่อในเด็กหลายโรค โดยเฉพาะโรคติดต่อทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัดใหญ่,โควิด-19, โรคติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวีเป็นต้น ที่มีแนวโน้มพบผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นในฤดูฝน ซึ่งสถานที่เสี่ยงต่อการระบาดคือ ที่มีกลุ่มคนรวมตัวทำกิจกรรม เช่นสถานศึกษา โรงเรียน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เป็นต้น ข้อมูลจากการเฝ้าระวังไข้หวัดใหญ่ โดยกองระบาดวิทยา ในปี 2566 ทั้งปี พบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่จำนวน 491,391 ราย และในปีนี้ 2567 จนถึงเดือนพฤษภาคมนี้ พบผู้ป่วยจำนวน 133,775 ราย และเมื่อเทียบรายงานการพบผู้ป่วยในช่วงเดือนพฤษภาคมของทั้งสองปี พบว่าปี 2566 พบผู้ป่วย 6,425 ราย ปี 2567 พบผู้ป่วย 7,478 ราย เพิ่มขึ้น กว่าปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกัน กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุด คือ เด็กแรกเกิด-4 ปี รองลงมาเป็นกลุ่มอายุ 5-14 ปี และกลุ่มอายุ 15-24 ปี ดังนั้นเด็กและเยาวชนจึงเป็นกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ
สำหรับโควิด-19 ข้อมูลจากการเฝ้าระวังโรค ระหว่างวันที่ 1 มกราคม-1 มิถุนายน 2567 มีจำนวนผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 20,483 ราย และเสียชีวิต 132 ราย โดยระหว่างวันที่ 26 พฤษภาคม-1 มิถุนายน 2567 พบผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 1,863 ราย เสียชีวิต 6 ราย ผู้ป่วยปอดอักเสบ 738 ราย ผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ 316 ราย ซึ่งส่วนใหญ่พบในสถานที่ที่มีผู้คนรวมตัวกันเป็นจำนวนมาก เช่น โรงเรียน ซึ่งอาจเกิดการแพร่ระบาดของโรคได้มากกว่าสถานที่อื่นๆ และเนื่องจากขณะนี้โควิด-19 เข้าสู่ระยะเป็นโรคประจำถิ่น สามารถพบผู้ป่วยได้ตลอดทั้งปี ไม่ต่างจากโรคทางเดินหายใจอื่นๆ แนะนำผู้ปกครองหากบุตรหลานมีอาการป่วยแม้เพียงเล็กน้อยขอให้หยุดรักษาตัวที่บ้านจนกว่าจะหายดีแล้วจึงกลับไปเรียนได้ และเด็กป่วยไม่ควรเข้าใกล้ผู้สูงอายุ เพราะผู้สูงอายุเป็นกลุ่มเปราะบาง หากติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ อาจมีอาการหนักได้ กรมควบคุมโรค ขอเน้นย้ำมาตรการการป้องกันการระบาดของโรคติดต่อที่สำคัญในสถานศึกษาดังนี้ คือ 1.เน้นให้ตรวจคัดกรองเด็ก (รวมถึงบุคลากรของ รร.) ก่อนเข้าห้องเรียนทุกเช้า 2.แยกเด็กป่วยออกจากเด็กปกติ โดยให้เด็กสวมหน้ากากอนามัย และให้ผู้ปกครองนำเด็กกลับบ้านเพื่อไปรักษา3.หมั่นทำความสะอาด สถานที่ อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ ของเล่น และ 4.จัดให้มีจุดบริการล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดหรือเจลแอลกอฮอล์ ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวยังช่วยลดโรคติดเชื้อไวรัสอื่นๆ เช่น อาร์เอสวี โรคมือเท้าปาก โรคอุจจาระร่วง และโรคตาแดง ซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อยในเด็กอีกด้วย สำหรับบุคลากรในสถานศึกษาที่ป่วย แนะนำให้แยกตัว และรีบไปพบแพทย์เช่นกัน
สำหรับโรคไข้เลือดออก ที่มีการระบาดทุกปีในช่วงฤดูฝน สถานการณ์ตั้งแต่ต้นปีพบผู้ป่วย 30,353 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 5 มิถุนายน 2567) ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็ก 5-14 ปี จำนวน 9,085 ราย รองลงมา 15-24 ปี จำนวน 6,861 ราย เป็นกลุ่มวัยรุ่นและวัยเรียน จึงขอความร่วมมือให้ทุกสถานศึกษาเร่งสำรวจและทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำทุกสัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดการแพร่ระบาด หากบุตรหลานมีอาการสงสัยป่วยไข้เลือดออก เช่น มีอาการไข้สูงลอย คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง มีผื่นมีจุดเลือดที่ลำตัว ให้หยุดเรียน และไม่ควรซื้อยารับประทานเอง ยาลดไข้ที่ปลอดภัยคือยาพาราเซตามอล หลีกเลี่ยงยาลดไข้ในกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟนไดโคลฟีแนค แอสไพริน รวมถึงยาชุด ซึ่งอาจมีผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง หากไข้ไม่ลดภายใน 1-2 วัน ควรรีบไปพบแพทย์ทันที สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรคโทร.1422
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี