ผลการเลือกตั้งสภาสามัญชน หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอังกฤษ จำนวน 650 ที่นั่ง ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (4 ก.ค.) ถือว่าไม่เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด เมื่อพรรคแรงงาน ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน กวาดที่นั่งในสภามากถึง 412 ที่นั่ง คว้าชัยชนะอย่างถล่มทลาย แลนด์สไลด์ของแท้ เหนือพรรคอนุรักษ์นิยม ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ที่ได้ที่นั่งในสภาเพียง 120 ที่นั่ง ลดลงจากเดิมมากถึง 250 ที่นั่ง ตามมาด้วยพรรคเสรีประชาธิปไตย หรือ ลิเบอรัล เดโมแครต ได้ 61 ที่นั่ง ที่เหลือเป็นของพรรคการเมืองในสกอตแลนด์ เวลส์ พรรคยูเค รีฟอร์ม ของไนเจล ฟาราจ พรรคกรีน และผู้สมัครอิสระ
ผลการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นหมายความว่าพรรคแรงงานจะได้กลับมาบริหารประเทศครั้งแรกในรอบ 14 ปี โดย เคียร์ สตาร์เมอร์ หัวหน้าพรรคแรงงานวัย 61 ปี ได้ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษคนใหม่ แทน ริชี ซูแน็ก จากพรรคอนุรักษ์นิยม ในวันศุกร์ทันที หลังการเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ที่พระราชวังบักกิ้งแฮม โดยภายใต้รัฐบาลของอังกฤษ กษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขของรัฐ แต่ต้องวางพระองค์เป็นกลางทางการเมือง และปล่อยให้รัฐสภาที่ผ่านการเลือกตั้งเป็นผู้กำหนดนโยบาย พระองค์มีหน้าที่ปฏิบัติตามคำแนะนำของรัฐบาลและไม่กระทำการใดๆ ตามความคิดเห็นของตนเอง
สตาร์เมอร์ แถลงครั้งแรกในฐานะนายกรัฐมนตรีคนใหม่ นอกบ้านเลขที่ 10ถนนดาวนิ่ง ซึ่งจะเป็นบ้านพักแห่งใหม่ของเขา ท่ามกลางเสียงเชียร์ของกลุ่มผู้สนับสนุน คำปราศรัยครั้งแรกของสตาร์เมอร์ได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเมืองแบบสายกลางในการฟื้นฟูความไว้วางใจที่ถูกทำลายของผู้มีสิทธิออกเสียง สตาร์เมอร์ ได้กล่าวขอบคุณซูแน็ก นายกรัฐมนตรีที่เพิ่งจะพ้นจากตำแหน่ง ยอมรับ “ความสำเร็จ” ของเขาในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษเชื้อสายเอเชียคนแรก ว่าไม่ควรได้คะแนนประเมินต่ำจากใคร ซูแน็ก เป็นผู้นำที่ทุ่มเทการทำงานเพื่อประเทศเป็นอย่างมากเขาให้คำมั่นด้วยว่า จะเดินหน้าแก้ปัญหาของประเทศ ไม่ใช่แค่คำพูดเท่านั้น แต่ก็เตือนผู้เลือกตั้งที่มอบคะแนนให้เขาจนได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ และคนที่ไม่ได้ลงคะแนนให้ว่า การพัฒนาจะต้องใช้เวลา เขายังเน้นย้ำคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ระหว่างหาเสียงว่า ประเทศต้องมาก่อน ส่วนพรรคมาเป็นอันดับ 2
สตาร์เมอร์ วัย 61 ปี ก่อนหน้านี้ก็เป็นผู้นำฝ่ายค้านโดยตำแหน่งจากหัวหน้าพรรคแรงงาน ทั้งในสมัยอดีตนายกฯ บอริส จอห์นสัน, ลิซ ทรัสส์ และซูแน็ก นอกจากทำหน้าที่ในสภาสามัญชนเพื่อตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลแล้ว สตาร์เมอร์ยังมีชื่อเสียงจากการขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคแรงงานต่อจาก เจเรมี คอร์บิน เมื่อปี 2020 เพื่อเข้ามาปฏิรูปพรรคในด้านต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งการกู้คืนความเชื่อมั่นในพรรค และปรับอุดมการณ์จากซ้ายจัด ขยับมาซ้ายกลาง ซึ่งประวัติการศึกษาที่ไม่ธรรมดา ด้วยปริญญานิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยลีดส์ และมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ก็ทำให้เขาเคยทำงานเป็นทนายความ เน้นด้านอาชญากรรมและสิทธิมนุษยชน จนเป็นหัวหน้าสำนักงานอัยการด้วย
หลายคนอาจมีคำถามว่า แล้วเหตุใดรัฐบาลพรรคอนุรักษ์นิยม ถึงพ่ายแพ้แบบหมดรูปเช่นนี้ ปัจจัยหลักๆ คือ คนอังกฤษเบื่อการเมืองของพรรคอนุรักษ์นิยม และต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลง หลังจากช่วง 14 ปีที่ผ่านมาอังกฤษเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีไปแล้วถึง 5 คน ซึ่งหนึ่งในต้นตอของปัญหาคือความขัดแย้งและความไร้เอกภาพภายในพรรครัฐบาล ขณะที่ปัญหาสภาพเศรษฐกิจในประเทศทำให้ชาวอังกฤษมีแนวคิดเอียงซ้ายเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตค่าครองชีพที่พุ่งสูง มาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาลและผลกระทบจากการตัดสินใจแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป หรือ BREXIT
นอกจากนี้ ในสายตาของชาวอังกฤษส่วนหนึ่งมองว่า อิทธิพลของประเทศบนเวทีโลกกำลังถดถอยลงไปในหลายมิติ และต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงผ่านการเลือกตั้งในครั้งนี้ให้ได้
ครั้งสุดท้ายที่พรรคแรงงานชนะการเลือกตั้ง คือเมื่อปี 2005 โดยคว้าที่นั่งมาได้ 355 ที่นั่ง จากทั้งหมด 646 ที่นั่งแต่ชัยชนะของพรรคแรงงาน ที่ครองสถิติได้ที่นั่งในสภามากที่สุดคือ ในสมัยของ อดีตนายกรัฐมนตรี โทนี แบลร์ เมื่อปี 1997 ที่ออกมาชูแนวคิด New Labourโดยแสดงความตั้งใจที่จะปฏิรูปพรรคเลเบอร์ให้มีแนวนโยบายที่เป็นกลางมากขึ้น จากจุดเดิมที่เอียงไปทางซ้ายถือเป็นปัจจัยสำคัญทำให้แบลร์ได้รับชัยชนะเหนือพรรคคอนุรักษ์นิยมในตอนนั้นและเป็นการปิดฉากการครองอำนาจ 18 ปี ของฝ่ายอนุรักษ์นิยม โดยแบลร์กวาดมาได้ถึง 418 ที่นั่ง จาก 659 ที่นั่ง
ตอนนี้ พรรคแรงงานทำสำเร็จ ด้วยการคว้าชัยชนะและอำนาจในการบริหารประเทศกลับมาครองได้อีกครั้งในรอบ 14 ปี หลังจากนี้ รัฐบาลชุดใหม่จะต้องเผชิญกับความท้าทายมากมายที่รออยู่ ตั้งแต่การพลิกฟื้นเศรษฐกิจ การรับมือกับปัญหาระบบสาธารณสุขของประเทศ ไปจนถึงการปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษกับยุโรปในยุคหลัง BREXIT ที่รัฐบาลอนุรักษ์นิยม4 สมัย ก็ยังแก้ไม่ตก ซึ่งยังไม่นับรวมความผันผวนที่เกิดขึ้นบนเวทีการเมืองโลก
ในช่วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งพรรคแรงงานได้ออกนโยบายที่เป็นเหมือนคำมั่นสัญญาให้ผู้มีสิทธิออกเสียงทราบว่าพรรคจะดำเนินการอย่างไรหากได้รับเลือก และหลังการเลือกตั้งสิ้นสุดพรรคได้รับเสียงข้างมาก คว้าชัยชนะไปได้นั่นหมายความว่า การผ่านกฎหมายใหม่ๆ ตามที่พรรคเคยหาเสียงไว้นั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย แต่กฎหมายเหล่านั้นจะเป็นกฎหมายประเภทใดบ้าง ?
-สร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจด้วยกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับภาษีและการใช้จ่าย แต่ไม่เพิ่มอัตราภาษีเงินได้ ประกันสังคม หรือภาษีมูลค่าเพิ่ม
-ลดเวลาการรอคอยของ NHS (ระบบประกันสุขภาพแห่งชาติอังกฤษ) โดยเพิ่มการนัดหมายได้ 40,000 ครั้งต่อสัปดาห์ และจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่มากขึ้น
เพื่อทำงานในวันหยุดสุดสัปดาห์และตอนเย็น
-จัดตั้งหน่วยบัญชาการรักษาความปลอดภัยชายแดน ที่มีอำนาจในการต่อต้านการก่อการร้ายเพื่อหยุดยั้งกลุ่มค้ามนุษย์และการลักลอบเข้าเมือง
-ก่อตั้ง Great British Energy ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานสะอาดที่เป็นของรัฐเพื่อสร้างงาน ลดค่าใช้จ่าย และลงทุนในพลังงานสะอาด
-จัดการกับพฤติกรรมต่อต้านสังคม โดยมีตำรวจและเจ้าหน้าที่สนับสนุนชุมชนเพิ่มขึ้นอีก 13,000 นาย ในอังกฤษและเวลส์
-รับสมัครครูเพิ่มอีก 6,500 คนและเปิดตัวคลับอาหารเช้าฟรีในโรงเรียนประถมศึกษาแห่งใดก็ได้ในอังกฤษ
ทั้งหมดนี้สะท้อนฉันทามติของพี่น้องประชาชนชาวเกาะบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ และต้องจับตาว่าการพลิกขั้วในคูหา จะนำไปสู่การพลิกผันในนโยบายการต่างประเทศของอังกฤษอย่างไรต่อไปหรือไม่ และอังกฤษในมือของพรรคแรงงาน หลังจากออกจากสหภาพยุโรปมาแล้ว จะมีทิศทางต่อไปอย่างไร
โดย ดาโน โทนาลี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี