ปัจจุบันผู้คนมีความเข้าใจเกี่ยวกับโรคทางจิตเวชมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโรคซึมเศร้า อาการแพนิค หรือความเจ็บป่วยทางจิตใจอื่นๆ อย่างไรก็ตาม แม้ดูเหมือนจะเข้าใจมากขึ้น แต่ก็ยังมีความเข้าใจบางอย่างที่ผิดพลาดคาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ อาการไบโพลาร์ หรือภาษาไทยเรียก อารมณ์สองขั้ว
โรคไบโพลาร์ คือหนึ่งในโรคทางจิตเวชที่คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับอาการมากที่สุด ถ้าเราเห็นคนหนึ่งคนตอนเช้าสดชื่นแจ่มใสสุดๆ แล้วตกเย็นกลับซึมเซา เหมือนว่าแบตเตอรี่อ่อนไม่พูดไม่จา ถามคำตอบคำ อันนี้ไม่น่าจะใช่โรคไบโพลาร์ แต่อาจจะเป็นเพราะว่าทำงานหนักเกินไปหรือเปล่า
อีกกรณีที่พบบ่อยคือ เมื่อวานยังใจดีเหมือนนางฟ้า ขออะไรก็ได้ แต่วันนี้เจออีกทีกลับกลายเป็นนางมารไปแล้วหงุดหงิด ขวางหูขวางตาไปทุกสิ่งอย่าง อะไรก็ไม่ถูกใจ ไม่ชอบอะไรทั้งนั้น แบบนี้ก็ไม่ใช่ไบโพลาร์ แต่น่าจะเป็นที่พื้นฐานนิสัยไม่คงเส้นคงวามากกว่า
โรคไบโพลาร์ที่แท้จริงมีอาการอย่างไร เผื่อผู้อ่านสงสัยว่าตัวเองกำลังเป็นโรคนี้หรือไม่ หรืออาจสงสัยว่าคนรอบข้าง และผู้ใหญ่ในบ้าน หรือเจ้านายว่าเป็นหรือเปล่า
เรามาทำความรู้จักกับโรคนี้กัน อาการป่วยโรคนี้คือมีอารมณ์แปรปรวน ระหว่างอารมณ์ดีสุดๆ หรือก้าวร้าวจัดๆซึ่งช่วงนี้อาจเรียกว่าอารมณ์ขึ้น สลับไปมากับอารณ์ดิ่งซึมเศร้า โดยการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมักไม่สัมพันธ์กับสถานการณ์ ช่วงที่อารมณ์ดีหรือก้าวร้าว ผู้ป่วยจะมีความคิดหรือการรับรู้เกี่ยวกับตัวเองผิดปกติไป คิดว่าตัวเองเก่งมีความสามารถ มีความสำคัญกว่าความเป็นจริง คิดทำเรื่องสารพัดเรื่องตลอดเวลา ไม่ยอมหลับยอมนอน พูดมาก พูดเร็วพูดไม่หยุด เปลี่ยนเรื่องพูดไปเรื่อย ไม่มีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานๆ เริ่มทำหลายๆ อย่าง แต่ไม่สำเร็จสักอย่างใช้จ่ายฟุ่มเฟือย หรืออาจติดการพนัน บางคนอารมณ์ฉุนเฉียวโมโหร้ายจนนำไปสู่การทำร้ายร่างกายหรือใช้ความรุนแรง
ส่วนตอนที่อยู่ในภาวะอารมณ์ดิ่ง อาการก็จะคล้ายมากกับโรคซึมเศร้า คือมีภาวะเบื่อหน่าย เซื่องซึม ไม่อยากทำอะไร มองอะไรในแง่ลบไปหมด กรณีเป็นมากอาจรู้สึกอยากจบชีวิตตนเอง ซึ่งระยะเวลาที่สลับกันระหว่าง 2 ขั้วนั้นก็ไม่แน่นอน อาจเป็นวัน สัปดาห์ หรือเป็นเดือนเป็นปีก็ได้ แต่ที่แน่ๆ คือการเปลี่ยนแปลงมักไม่ค่อยสัมพันธ์หรือเป็นเหตุเป็นผลกับปัจจัยแวดล้อมภายนอก
สำหรับสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคนี้ยังไม่ทราบแน่ชัด พันธุกรรมหรือประวัติโรคอารมณ์สองขั้วในครอบครัวเป็นปัจจัยเสี่ยงหนึ่ง ปัจจัยเสี่ยงอื่นที่พบได้ก็เช่น ความผิดปกติของสารเคมีในสมอง ความเครียดจากงานหรือชีวิตส่วนตัวที่มากเกินไปก็เป็นปัจจัยเสี่ยงได้
แน่นอนว่าการที่อารมณ์ไม่มั่นคง เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายแบบที่ทั้งตัวเองและผู้อื่นคาดเดาไม่ได้นั้น ย่อมส่งผลเสียต่อทั้งตนเองและคนรอบข้าง แต่ในโชคร้ายก็มีโชคดีคือ แพทย์สามารวินิจฉัยโรคนี้ได้ด้วยการซักประวัติผู้ป่วยและญาติร่วมกับการทำแบบทดสอบบางอย่าง และการรักษาด้วยยากินเพียงประมาณ 2-8 สัปดาห์ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ก็จะมีอาการดีขึ้นมากพอที่จะใช้ชีวิตได้ตามปกติ ยาที่ใช้หลักคือยาปรับอารมณ์ บางครั้งมีการให้ยากันชักร่วมด้วย ยาอื่นที่นำมาใช้เพิ่มเติม เช่น ยาต้านเศร้า ยาคลายกังวล
ยารักษาโรคจิตเภทบางรายการก็สามารถนำมาใช้ได้เช่นกันข้อพึงระวังก็คือยาเหล่านี้นอกจากต้องใช้ตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด แล้วยังมีความเสี่ยงตีกับยาอื่นจนเกิดอันตรายได้ ผู้ใช้ยาหรือผู้ที่ดูแลผู้ป่วยจะต้องระมัดระวังการใช้ยาอื่น ต้องปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์ก่อนทุกครั้งว่าสามารถใช้ยารวมทั้งอาหารเสริมสมุนไพรใดๆ ก็ตาม ร่วมกับยาที่ผู้ป่วยใช้อยู่ได้หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่กำลังใช้ยาชื่อ lithium carbonate
นอกเหนือจากการใช้ยาผู้ป่วยควรดูแลตนเองเพิ่มเติมด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายตามสมควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ รวมถึงงดเว้นการใช้สารเสพติดอื่น ถ้ารู้สึกว่าตนเองอาการดีขึ้นห้ามหยุดหรือลดยาเองโดยเด็ดขาด ส่วนคนที่ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยควรทำความเข้าใจกับการดำเนินไปของโรค ดูแลให้ผู้ป่วยกินยาตามหมอสั่ง สังเกตอาการผิดปกติและหาแนวทางป้องกันความเสี่ยงต่างๆ ที่พอทำได้ เป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยรับการรักษาตามแผน ดูแลตนเองดีๆ เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
โรคจิตเวชเป็นอาการป่วยที่พบได้เป็นปกติ และนับวันก็จะยิ่งพบมากขึ้นเรื่อยๆ ประเด็นสำคัญที่ผู้เขียนอยากเน้นคือ ไม่อยากให้เอาความเจ็บป่วยมาเป็นคำล้อเล่นสร้างความเข้าใจผิดๆ เช่น เรียกคนที่พื้นฐานจิตใจเป็นคนโลเล เช้าอยากทำอย่างเย็นอยากเป็นอย่างว่าไบโพลาร์ หรือคนที่ต่อหน้าคนหนึ่งทำพฤติกรรมอย่างหนึ่ง พออยู่กับคนอีกกลุ่มหนึ่งทำอีกพฤติกรรมว่าไบโพบาร์ เพราะว่ามันไม่ใช่และไม่ใกล้เคียงกับอาการของโรคแม้แต่น้อย แล้วยังทำให้เข้าใจว่านิสัยเหล่านั้นเป็นโรคอีก ทั้งๆ ที่นิสัยข้างต้นกินยาแล้วไม่หาย ไม่เหมือนกับคนเป็นไบโพลาร์เลยแม้แต่น้อย
รศ.ภญ.ดร.ณัฏฐดา อารีเปี่ยม และ รศ.ภก.ดร.บดินทร์ ติวสุวรรณ
คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี