“สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ดำเนินรายการโดยบุญระดม จิตรดอน เป็นรายการที่เผยแพร่ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันอังคาร-พฤหัสบดี เวลา 11.00-12.00 น. โดยประมาณ ซึ่งในแต่ละตอนจะเชิญบุคคลในแวดวงการเมืองมาให้ความเห็นในประเด็นต่างๆ ที่น่าสนใจ ทั้งนี้ ทางรายการมุ่งหวังที่จะ “เปิดกว้าง” ในการเชิญบุคคลจากหลากหลายขั้วการเมืองมาร่วมสะท้อนมุมมอง
ดังตอนที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 2567 ซึ่งมีนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาลนายกรัฐมนตรี นายสมัคร สุนทรเวช มาพูดคุยในรายการ ซึ่งอย่างที่ทราบกันว่า นายจักรภพ เคยเป็นอดีตแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ที่สนับสนุน นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยนายจักรภพ ได้เดินทางออกจากประเทศไทยไปตั้งแต่ปี 2552 ก่อนที่ในช่วงรัฐประหาร คสช. ปี 2557 จะถูกศาลทหารออกหมายจับฐานไม่มารายงานตัว ตามคำสั่ง คสช.ที่ 49/2557 และข้อหามีอาวุธสงครามไว้ในครอบครอง
จากนั้นวันที่ 7 ธ.ค. 2560 ศาลอาญาได้ออกหมายจับนายจักรภพ ในข้อหาร่วมกันมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และข้อหาอั้งยี่-ซ่องโจร กระทั่งในวันที่ 28 มี.ค. 2567 นายจักรภพ ตัดสินใจเดินทางกลับมายังประเทศไทย โดยภายหลังเข้าให้การที่กองบังคับการปราบปราม ตามกระบวนการทางกฎหมาย ก็ได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว วงเงินประกัน 2 แสนบาทต่อคดี
ในการให้สัมภาษณ์กับรายการ “สีสันการเมือง แบบเด้งเด้ง” นายจักรภพ ให้ความเห็นถึง “การเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนรุ่นใหม่” ว่า คนรุ่นใหม่เหล่านั้นอยู่ในอารมณ์สู้ในวัยสู้ตนเข้าใจ แต่จะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะชำเลืองมองการต่อสู้ในรุ่นที่ผ่านๆ มา ว่าได้ตามที่ต้องการหรือไม่ หรือเสียใจอะไร ใจสลายเรื่องอะไร อย่างตนก็ยังชำเลืองดูคนรุ่น 6 ตุลาคม 2519 ไม่ใช่ดูเป็นตัวอย่าง แต่ดูเป็นบทเรียนก็ได้ ดังนั้นขอให้รู้ว่า “เราไม่ได้เริ่มต้นทุกอย่าง และไม่ใช่ทุกอย่างจะจบที่เรา” ลองดูหัวกับท้ายว่ามันจะมีอะไรที่เชื่อมต่อไปได้
และ “ไม่ใช่ว่าอะไรจะได้ดั่งใจเราทั้งหมด อีกทั้งเราต้องพร้อมจะประนีประนอม” เพราะประเทศไทยเป็นของคนไทยทุกคน เราก็ต้องเข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงคิดอย่างนั้น แม้เราอยากจะด่าจะว่ากัน แต่เมื่อเราเข้าใจกันมากขึ้น อย่างน้อยเราพูดช้าลง มันก็จะได้คิดมากขึ้น ซึ่งตนก็มีโอกาสได้เจอคนรุ่นใหม่อยู่บ้าง ก็มีความรู้สึกว่ามีเรื่องอัตลักษณ์-เอกลักษณ์ที่เขาต้องคุยระหว่างกันเอง เพราะในกลุ่มเขาก็มีทั้งประเภทอนุรักษ์นิยมหน่อยๆ แล้วทะลุไปเลย
“ทะลุไปเลยผมก็ห่วง เพราะว่าพอบอกว่าทะลุก็ต้องสู้กัน ซึ่งเราผ่านมาแล้วรู้สึกมันไม่อยากให้ต้องเจ็บ เพราะบางทีเราบำบัดความต้องการเราด้วยการทำด้านอื่นได้ เช่น บทเรียนใหญ่ที่สุดของผมก็คือว่าจะเอาหัวไปชนกำแพงทำไม? เราก็สร้างประชาชนให้พร้อมขึ้น เมื่อประชาชนพร้อมขึ้นวันหนึ่งเขาเลือกทางเอง ซึ่งอาจจะพ้นชีวิตเราไปแล้วก็ได้ อาจจะพ้นยุคเราไปแล้วก็ได้ แต่เราก็ได้ทำในสิ่งที่เราเชื่อถือว่าเป็นทางที่ถูกต้อง” นายจักรภพ กล่าว
จากเรื่องอดีตที่ผ่านไป นายจักรภพ มองการเมืองไทย ณ ปัจจุบันว่า “เหมือนกับถอยหลัง” ซึ่งก็มีหลายปัจจัย อาทิ“สื่อดิจิทัล (Digital Media)” เพราะมีส่วนทำให้แต่ละคนยึดมั่นในจุดของตนเอง “ใครชอบอะไรก็เสพแต่สิ่งนั้น” มีสภาพของการ “ตอกย้ำ (Reinforce)” นำไปสู่การ “เลือกข้าง” เรื่องนี้ตนก็รู้สึกเป็นห่วงว่าการเมืองจะไปกันอย่างไร เพราะจริงๆ ก็ไม่ได้มีเพียง 2 ข้าง แต่มีมากกว่านั้น
ขณะที่ในส่วนของ “รัฐบาลชุดปัจจุบันที่นำโดยนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน” ตนมองว่า “ตั้งใจดี..แต่ทำงานช้าไป” โดยอธิบายว่า “ปัญหาใหญ่ ณ วันนี้ คือคนไม่มีเงิน” และการชี้เป้าก็เหมือนกับปล่อยให้สารมันเลือนไป เช่น “ดิจิทัลวอลเล็ต” กลายเป็นเรื่องแจกเงิน แต่จริงๆ ดิจิทัล วอลเล็ต คือ การให้เครดิตกับคนที่ไม่มีเครดิต เหมือนกับนโยบายบัตรทอง 30 บาท ที่เป็นการให้สิทธิ์กับคนที่ไม่กล้าไปโรงพยาบาลเพราะกลัวไม่มีเงิน เพราะเงิน 1 หมื่นบาท ยุคนี้ได้ไปก็ทำอะไรไม่ค่อยได้อยู่แล้ว แต่เป็นการทำให้คนเข้าสู่ดิจิทัล
ซึ่ง “ความสำคัญของดิจิทัล วอลเล็ต ไม่ได้อยู่ที่เงิน แต่อยู่ที่วิธีการนำไปใช้” พูดง่ายๆ คือเป็น “หลักสูตรฝึกอบรม (Training Course) สำหรับการเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล” แต่ก็ไม่รู้ว่าตอนทำนโยบายคุยกันอย่างไร อาจเป็นแรงกดดันในช่วงเลือกตั้งก็ได้ เพราะเวลานั้นมีการเสนอว่าจะแจก 3,000 บาทบ้าง4,000 บาทบ้าง จนกลายเป็นว่าดิจิทัล วอลเล็ต หมายถึงการแจก 1 หมื่นบาท ดังนั้นถึงเวลาต้องอธิบายใหม่
“ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ได้ 1 หมื่นบาท ได้!..แต่การได้นั้นต้องออกแรง คำว่าออกแรงคือ 1.ต้องยอมรับระบบใหม่นะ จ่ายอย่างนี้ บางคนยังสแกนไม่ได้ บางคนยังไม่มีบัญชี 2.ต้องยอมรับว่าข้อมูลตัวเองต้องไปอยู่ในแฟ้มของรัฐบาล จากนี้ไปเรื่องการหนีภาษีจะทำยากขึ้น อันนี้ก็คล้ายกับรัฐบาลประยุทธ์ (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) เหมือนกัน ตอนที่ทำคนละครึ่ง เป๋าตัง นั่นคือจุดประสงค์จริงๆ คือเอาข้อมูลเข้าสู่ภาครัฐเพื่อลดการหนีภาษี” นายจักรภพ อธิบาย
นายจักรภพ กล่าวเพิ่มเติมในประเด็นการเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ว่า แม้ชนชั้นกลางจะเข้ามาเป็นจำนวนมาก แต่ในระดับรากหญ้ายังถือว่าน้อย เพียงแต่ที่หลายคนเห็นว่าคนใช้ดิจิทัลกันเยอะเพราะอยู่ในแวดวงสังคมของชนชั้นกลาง ซึ่งต้องบอกว่าการให้เครดิตนั้นสำคัญกว่าการแจกเงิน แต่ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่พูดยากในช่วงเวลาที่คนอยากได้เงิน โดยสรุปคือรัฐบาลต้องรู้ตลอดเวลาว่ากำลังต้องการให้คนรู้สึกว่ามีเงินเร็วที่สุด ให้คนเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจ เพราะหากเฟืองเล็กๆ ไม่หมุน เฟืองใหญ่ๆก็หมุนยาก
ส่วนคำถามที่ว่า “ทำไมพรรคเพื่อไทยทำอะไรก็ดูผิดฟอร์มไปหมด?” ไม่ว่าเรื่องการบริหารหรือการประชาสัมพันธ์ หากเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุคของ “พรรคไทยรักไทย” เรื่องนี้ นายจักรภพ ให้ความเห็นว่า บริบทการเมืองไทย ณ ปัจจุบันแตกต่างจากในอดีต โดยวันนี้คนคาดหวังต่อรัฐบาลสูง ต้องการได้ทันที แต่องค์ประกอบไม่เหมือนกัน เพราะยุคก่อนนั้นรัฐบาลมีเสียงข้างมากชัดเจน
เมื่อหันไปมองคณะรัฐมนตรี ก็ต้องยอมรับว่ายุคก่อนได้คนเก่งๆ ของแต่ละวงการมารวมกัน และการเมืองใหญ่ก็เปิดโอกาสเมื่อองค์ประกอบต่างๆ มารวมกันรัฐบาลก็ได้สร้างชื่อ แต่รัฐบาลปัจจุบัน นายกรัฐมนตรีแม้จะเก่งมาจากภาคธุรกิจแต่ก็ยังไม่คุ้นเคยกับระบบราชการที่มีวิธีการที่แตกต่างออกไป ซึ่งตนมองว่าความช้าของรัฐบาลนายกฯ เศรษฐา น่าจะมาจากจุดนี้ หมายถึงความที่ต้องเรียนรู้กันและกัน ไม่ใช่ว่าปัญหาอยู่ที่ระบบราชการ แต่อยู่ที่การประสานกันของทั้ง 2 ข้าง
ประการต่อมา “มีเสียงสะท้อนว่า อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เป็นปัญหาของรัฐบาลปัจจุบัน” เรื่องนี้ตนขอยืนยันว่า “ในความตั้งใจแรก นายทักษิณต้องการกลับมาเลี้ยงหลานและอยู่นิ่งๆ เพราะเข้าใจว่าระบบคงเข้าที่แล้ว” แต่พอเข้ามาเห็นว่าไม่เรียบร้อยก็พยายามจัด แต่จัดไป-จัดมาก็กลายเป็นขาใหญ่ขึ้นมาอีก อีกทั้ง “นายทักษิณมีนิสัยไม่ยอมคน” แต่จริงๆ นายทักษิณก็รู้ว่าตนเองมีอายุแล้ว และอยากให้ระบบใหม่เคลื่อนไปข้างหน้า เพราะนายทักษิณชอบเรื่องนวัตกรรม ซึ่งจริงๆ ควรให้นายทักษิณไปเจรจาดึงสิ่งใหม่ๆ จากต่างประเทศเข้ามาเสริมจะดีกว่า
และตนเชื่อว่าหากผ่านเรื่องราวต่างๆ ในปัจจุบันไปได้ นายทักษิณก็คงจะไปทำเช่นนั้น อาทิ คดีความที่ยังค้างอยู่ การจัดการพรรค ซึ่งแม้ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวของนายทักษิณ จะเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แต่อย่างไรก็เป็นคนละคนกัน ไม่สามารถได้ผลอย่างที่ตนเองคิด อีกทั้งหากปล่อยเวลานานเกินไปมวลชนก็อาจเสื่อมศรัทธาเสียก่อน โดยสรุปคือไม่ใช่ไม่ไว้ใจให้ใครทำแทน แต่ไม่อยากให้สิ่งที่สร้างมาต้องล้มลงไป
อีกข้อสังเกตหนึ่ง “ดูเหมือนชื่อของ ทักษิณ ชินวัตร จะหมดมนต์ขลังเสียแล้ว” โดยเฉพาะในสายตาของ “คนรุ่นใหม่” ที่หลายคนก็ไม่รู้จักอดีตนายกฯ ทักษิณ เสียด้วยซ้ำ เหมือนกับมี “ช่องว่าง” เกิดขึ้น แต่ในมุมของนายจักรภพ มองว่า “ไม่แปลกที่จะไม่รู้จัก” อย่างหากถามว่ารู้จัก พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ อดีตนายกฯ ท่านหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญกับประเทศไทยหรือไม่? หลายคนก็คงตอบว่าไม่รู้จัก
ซึ่งตนคิดว่า นายทักษิณคงไม่ได้ต้องการกลับไปอยู่ในจุดเดิมที่มีกระแสมากอย่างในอดีต เพราะสิ่งนั้นตามมาด้วยความอิจฉาของคนอื่น ทำให้ทำงานได้ลำบาก ขอเพียงอยู่ในที่ที่ดีพอสมควรก็พอแล้ว อนึ่ง ที่มีการพูดกันว่า มีการ “ดีล” หรือเจรจาต่อรองทางการเมือง “ขอให้นายทักษิณกลับมาต่อสู้กับกลุ่มคนเสื้อส้ม”ตนก็มองว่า “ไม่เกี่ยวกัน” ขนาดคนรุ่นใหม่ยังไม่รู้จักนายทักษิณเลยแล้วนายทักษิณจะไปกำราบได้อย่างไร คืออยู่กันคนละโลกไปแล้ว
“สิ่งที่กลับมาคราวนี้คือเพื่อจะดึงประเทศไทยกลับมาทีละก้อนมากกว่า คนที่ยังมีความรัก ศรัทธา ยังจำคุณทักษิณได้ ก็อาจจะมีจำนวนหนึ่ง อาจจะมีไม่มากเท่าสมัยก่อนแต่ว่าดึงกลับมาส่วนหนึ่ง แล้วจากนั้นเรื่องของพรรค อย่างพรรคก้าวไกล ก็ต้องมีบทเรียน เส้นโค้งในการเรียนรู้ตัวเองที่ต้องเรียนรู้ต่อไป ซึ่งเราบังคับเขาไม่ได้ เหมือนกับพ่อแม่เตือนลูกปากเปียกปากแฉะแต่ลูกเขาก็จะไปในทิศทางเขา จนกระทั่งเขาไปเจอตอ เขาอาจจะย้อนกลับมา เออ!..แม่พูดถูกพ่อพูดถูก หรือพี่พูดถูก” นายจักรภพ กล่าว
นายจักรภพ กล่าวเสริมในประเด็นนี้อีกว่า หากใครที่ถามว่าทำไมไม่บอกให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ต้องถามกลับว่า “ยุคนี้สอนลูกได้ไหม?” ใครสอนลูกได้ก็อาจคุมการเมืองได้ “แต่ละคนมีการทดลองในชีวิตของตนเอง ต้องได้เห็นและรู้สึกเอง” แต่ตนก็ไม่อยากให้เรียกว่าความอาภัพของการเมือง แต่เป็นธรรมชาติของการเมือง ส่วนกระแสข่าวว่า พรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยจะจับมือกันตั้งรัฐบาล ตนมองว่าเป็นเรื่องของอนาคต
ซึ่งตนคิดว่าพรรคเพื่อไทย ที่สืบต่อเนื่องมาจากพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชนหากให้เปรียบก็คงเหมือนวัยกลางคน หมายถึงผ่านประสบการณ์รวมถึงเผชิญความเจ็บปวดมามาก ในขณะที่พรรคก้าวไกลยังค่อนข้างใหม่ เป็นพรรคที่สืบเนื่องต่อมาจากพรรคอนาคตใหม่ ประเด็นคือ “ด้วยความใหม่ประสบการณ์ไม่ได้ทำให้พรรคก้าวไกลเก่งน้อยกว่า..แต่อาจทำให้ยังมีข้อมูลสำหรับใช้วิเคราะห์น้อย” อย่างที่ปัจจุบันเราบอกว่าอยู่ในยุค Big Data รวบรวมข้อมูลไว้มากๆ แล้วให้อัลกอริทึมประมวลผลว่าแต่ละคนใครชอบอะไร
แต่พรรคก้าวไกลยังมีข้อมูลน้อย ดังนั้นแล้วคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล พรรคจึงไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะวิเคราะห์และพยากรณ์คนเหล่านั้น และนี่คือบททดสอบที่พรรคก้าวไกลต้องผ่าน โดยสรุปแล้ววันนี้พรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลยังไกลกันเกินไป แต่ก็มีจุดร่วมบางอย่างอยู่ เรื่องประชาธิปไตยคืออะไร ซึ่งบางครั้งประชาธิปไตยก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือ หรือถูกตีความให้สูงส่งเกินไป อย่างตนแม้จะได้ชื่อว่าสู้อยู่ข้างประชาธิปไตย ซึ่งก็ยังแย่งกันอีกว่าใครเป็นประชาธิปไตย แต่ในช่วงสิบกว่าปีที่อยู่ต่างประเทศ ตนก็ยังอ่านวรรณคดีไทย
“ผมอ่านสาส์นสมเด็จ อ่านราชาธิราช เพราะผมเป็นคนที่เชื่อว่าประเทศไทยมันมีดีมาด้วย มันไม่ใช่ว่าว่างเปล่ามา แล้วมาเริ่มต้นจากประชาธิปไตย เปล่านะ ในยุคที่มีระบบอุปถัมภ์หนักๆ เราก็มีคุณค่าในนั้นแบบหนึ่ง แต่มันอาจไม่สอดคล้องกับนิสัยของคนในรุ่นหลัง มันก็เลยต้องหาระบบใหม่มาวาง แต่ผมไม่อยากให้เราลืมของเดิม ไม่อยากให้ลืมของเก่า ซึ่งเมื่อก่อนไม่มีประชาธิปไตยมันอยู่กันอย่างไร? เราเอาข้อดีมาใช้บ้างได้ไหม?” นายจักรภพ ให้ความเห็น
ในช่วงท้ายของรายการ นายจักรภพ ยังฝากถึงพรรคก้าวไกล ว่า มีความตั้งใจดีแต่อย่าเพิ่งปิดหู-ปิดตา-ปิดใจ ให้ทำตนเองเป็นร่างทรงทางด้านสังคมมากๆ อะไรผ่านมา-ผ่านไป อย่าเพิ่งเชื่อหรือสรุปว่านี่คือชุดความจริงที่จะยึดถือ ตนมองว่าพรรคก้าวไกลมีความสามารถในฐานะคนรุ่นหลังที่อายุน้อยกว่า มีสมองหลายแผนกเก็บได้หลายลิ้นชัก ในขณะที่พรรคเพื่อไทย ตนเห็นว่าต้องเร่งเพราะถูกตั้งคำถามว่าทำไมเปลี่ยนไป? ทำไมไม่เร็วเท่าเดิม? ซึ่งก็เหมือนวัยกลางคนขอเดินช้าลงบ้าง แต่ในฐานะคนรักกันก็ต้องเตือนว่าไม่มีเวลานานมาก
“เราจะต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้ว่าหนึ่งวาระที่พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เราทำให้ชีวิตประชาชนเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เพราะในยุคนี้ถ้าชีวิตคนไม่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นไม่มีใครเลือกใคร มันแค่ฟังสวยไม่ได้แล้ว มันต้องเกิดผล ระบบคนเดียวแบบนายกฯ ทักษิณ รุ่นเก่าคงไม่มีแล้ว จะเป็นอุ๊งอิ๊งหรือใครก็ตาม ต้องเป็น Collective Leadership เป็นการนำร่วม ซึ่งจะทำให้การคิดการอะไรรอบคอบกว่าเดิม”นายจักรภพ กล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี