โรคอ้วน เป็นหนึ่งในสาเหตุของการเจ็บป่วยและเสียชีวิตของผู้คนทั่วโลก เพราะภาวะน้ำหนักเกินเพิ่มความเสี่ยงในโรคหลายชนิด เช่น โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea; OSA) ปัญหาข้อต่อ ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ โรคเบาหวานประเภทที่สอง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง และโดยเฉพาะ เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งกว่า 13 ชนิด
อ้างอิงจากข้อมูลในปี พ.ศ. 2563 จากสหพันธ์โรคอ้วนโลก(World Obesity Federation) ผู้คนราว 1 พันล้านคนทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาโรคอ้วน และสำหรับประเทศไทย ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข พบว่าปี พ.ศ. 2566 คนไทยมีปัญหาน้ำหนักเกินและอ้วน 48.35% แถมตัวเลขเหล่านี้ยังคงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย
นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก และ บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) และนายกสมาคมแพทย์ฟื้นฟูสุขภาพและส่งเสริมการศึกษาโรคอ้วน กรุงเทพ (BARSO) และ ศาสตราจารย์พิเศษ นายแพทย์ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ รณรงค์ให้สังคมตระหนักเห็นภัยร้ายของโรคอ้วน และหยุดการเพิ่มขึ้นของวิกฤตโรคอ้วน เพื่อเป็นอีกหนึ่งวิธีในการลดจำนวนผู้ป่วยมะเร็ง โรคที่คร่าชีวิตของผู้คนไปมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของโลก เพราะแม้ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งจะมีหลายปัจจัย แต่การรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่สำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งได้จริง
แล้วโรคอ้วนสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งขนาดนั้นจริงหรือ ?
นายแพทย์ธีรวุฒิ กล่าวว่า ทั่วโลกพบโรคอ้วนเป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง 3.9% คิดเป็น 544,300 ราย และโรคอ้วนยังมีผลต่อการรักษาในผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งแล้ว โดยผู้ป่วยมะเร็งที่มีภาวะอ้วนมีโอกาสเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นกว่าผู้ป่วยที่ไม่อ้วน 17% และผลแทรกซ้อนจากการรักษาก็มากขึ้นด้วยรวมถึงมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นมะเร็งซ้ำ สูงขึ้น 13% โดยเฉพาะในผู้ป่วยมะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้ใหญ่
โรคอ้วนก่อให้เกิดมะเร็งได้อย่างไร
นายแพทย์ธีรวุฒิ อธิบายกลไกเกี่ยวกับโรคอ้วนต่อความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง ดังต่อไปนี้ว่า เนื้อเยื่อไขมัน(Adipose tissue) ทำหน้าที่ปล่อยสารเคมีและเอนไซม์ออกมาเป็นฮอร์โมนเพศชายและหญิง (Estradiol และ Androgen) การที่มีการสร้างฮอร์โมนมากเกินไปกว่าฮอร์โมนเดิม จึงสัมพันธ์กับการเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก มะเร็งรังไข่ และมะเร็งอื่น ๆ
โรคอ้วนทำให้เกิดภาวะอินซูลินสูง (Hyperinsulinemia)และสาร Insulin-like growth factor 1 (IGF-1) สูงขึ้นผิดปกติและคนอ้วนมักมีภาวะดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin-resistance)จึงเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานและมะเร็ง
เนื้อเยื่อไขมัน (Adipose Tissue) จะปล่อยสารเคมี ชื่อว่าอดิโพไคน์ (Adipokine) มาหลายชนิด เช่น สารเลปติน (Leptin)
ทำให้เกิดการอักเสบ และเร่งการเจริญเติบโตของเซลล์ ยับยั้งการตายโดยธรรมชาติอย่างเป็นระบบของเซลล์ (Apoptosis)แต่ในขณะเดียวกันโรคอ้วนกลับทำให้สาร อะดิโพเนคติน(Adiponectin) ซึ่งมีหน้าที่ยับยั้งการขยายตัวของเซลล์กลับลดน้อยลง ดังนั้น เซลล์จึงมีการเติบโตผิดปกติจนกลายเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด
เนื้อเยื่อไขมันยังเป็นตัวการทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง เช่น มะเร็งในท่อน้ำดี มะเร็งตับ และมะเร็งอื่นๆ นอกจากนี้ สารอดิโพไคน์ยังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันมะเร็งอ่อนแอลง และเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของเนื้อเยื่อที่ทำให้เกิดมะเร็งได้ง่าย
แม้โรคอ้วนจะไม่ได้ทำให้เกิดมะเร็งโดยตรง แต่ก็ส่งผลต่อร่างกายจนทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น นายแพทย์ตนุพลเสริมว่า การหลั่งฮอร์โมนไขมันที่ผิดปกติส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันลดประสิทธิภาพลง การทำงานเซลล์เพชฌฆาต หรือ NK-cell (Natural Killer cell) เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่ตรวจจับและทำลายเซลล์มะเร็ง ก็ได้รับผลกระทบด้วยนั่นเอง จึงเป็นสาเหตุที่ความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งนั้นจะเพิ่มสูงขึ้นตามน้ำหนักตัว
พฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพเป็นสาเหตุให้ความเสี่ยงมะเร็งเพิ่มสูงขึ้น
การบริโภคพลังงานมากเกินกว่าความต้องการของร่างกายเป็นระยะเวลานาน เป็นสาเหตุของโรคอ้วนและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) อื่นๆ นอกจากพลังงานส่วนเกินแล้ว อาหารบางประเภทมีความสัมพันธ์ชัดเจนต่อการเกิดโรคเบาหวานประเภทที่สอง โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคมะเร็ง
ข้อมูลจาก The International Agency for Research on Cancer (IARC) หรือแผนกวิจัยเรื่องโรคมะเร็งขององค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้ เนื้อสัตว์แปรรูป (Processed Meat) หรือเนื้อสัตว์ทุกประเภทที่ได้รับการเก็บรักษาโดยการรมควัน การหมักเกลือ การบ่ม หรือการบรรจุกระป๋อง เช่น ไส้กรอกซาลามี่ แฮม เบคอน กุนเชียง ลูกชิ้น หมูยอ เป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ (กลุ่มที่ 1) โดยมีหลักฐานที่เพียงพอในมนุษย์ว่าการบริโภคเนื้อสัตว์แปรรูปทำให้เกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ และกระเพาะอาหาร และจัดให้ เนื้อแดง (Red Meat) ได้แก่ เนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อหมู อยู่ที่กลุ่ม 2A มีความเป็นไปได้ที่จะก่อมะเร็งในมนุษย์
ผู้ร้าย คือ สารกันเสีย “ไนเตรท” หรือ “ไนไตรท์” ซึ่งถูกเติมลงไปในขั้นตอนแปรรููปเนื้อสัตว์ เพื่อถนอมอาหาร ปรุงแต่งสีและรสชาติ แต่สารนี้กลายเป็นสารก่อมะเร็ง (Carcinogen) ภายในร่างกายเกิดเป็น สารไนโตรซามีน (Nitrosamines) เป็นกลุ่มของสารประกอบเอ็นไนโตรโซ (N-nitroso-compounds; NOCs)อีกทั้ง สารโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic Aromatic Hydrocarbons; PAHs) ที่เกิดระหว่างกระบวนการแปรรูป และการปรุงอาหารโดยการอบ ปิ้ง ย่าง เป็นต้น
ในเนื้อแดงเองมีสารสีแดงในเม็ดเลือดแดง หรือ ฮีม (Heme Iron) ซึ่งสามารถเร่งการสร้างสารก่อมะเร็งอย่างสารประกอบเอ็นไนโตรโซ (NOCs) ได้เช่นกัน รวมทั้งการประกอบอาหารที่ใช้ความร้อนสูง เช่น การทอด การปิ้งย่างในอาหารประเภทเนื้อสเต็ก เบอร์เกอร์ หมูกระทะ สามารถทำให้เกิดสารก่อมะเร็งจำพวก เฮเทอโรไซคลิกแอโรแมติกเอมีน(Heterocyclic Aromatic Amines; HAA) และ สารโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (PAHs) ได้เช่นกัน ซึ่งพบว่าสารเหล่านี้สามารถทำลายเซลล์ผนังลำไส้ได้
มีข้อมูลชี้ให้เห็นว่า การรับประทานเนื้อสัตว์แปรรูปวันละ 50 กรัม หรือเพียงแค่ 3 ช้อนกินข้าว เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ถึง 18 % และเพิ่มความเสี่ยงการเกิดเบาหวานประเภทที่ 2 ได้สูงถึง 51%
นอกจากนี้ การบริโภคเนื้อแดงและเนื้อแปรรูปในปริมาณที่สูงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคอ้วน เนื้อแดงและเนื้อแปรรูปถูกจัดเป็นเนื้อสัตว์พลังงานสูง มีคอเลสเตอรอล และไขมันอิ่มตัวปริมาณมากรวมถึงวิธีปรุงประกอบเนื้อแดงและเนื้อแปรรูป มักใช้น้ำมัน เนย น้ำตาล หรือรับประทานคู่กับคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ผู้ที่บริโภคเนื้อแดงและเนื้อแปรรูปมีแนวโน้มรับประทานอาหารพลังงานสูง และน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ แนะนำให้รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ควบคู่กับการออกกำลังกาย พฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพ เพื่อดูแลน้ำหนักตัวให้เหมาะสมและลดความเสี่ยงมะเร็งจะมีหลายอย่างด้วยกัน โดยเริ่มต้นด้วยการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ช่วยลดความเสี่ยงโรคอ้วน และป้องกันการเกิดมะเร็งได้
เริ่มต้นจากอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เพื่อลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง นายแพทย์ตนุพล แนะนำให้ลดการบริโภคเนื้อแดงและเนื้อสัตว์แปรรูปให้น้อยที่สุด และเลือกรับประทานโปรตีนจากพืช เช่น กลุ่มถั่วเมล็ดแห้ง (ถั่วเหลือง ถั่วลันเตา ถั่วลูกไก่) เต้าหู้ขาวเทมเป้ และโปรตีนเนื้อขาวไขมันต่ำ เช่น เนื้อปลา เนื้อไก่ไม่ติดหนัง ไข่ขาว เป็นต้น แต่สิ่งสำคัญคือการรับประทานผักหลากหลายชนิด ธัญพืชไม่ขัดสี เห็ดต่างๆ และเลือกแหล่งโปรตีนจากเต้าหู้หรือถั่วหลากชนิด รวมทั้งการรับประทานอาหารแบบ Plant-based diet ซึ่งเน้นการรับประทานอาหารจากพืชที่ไม่ผ่านการแปรรูป (Whole food, plant-based diet) ซึ่งเคร่งครัดน้อยกว่าการรับประทานมังสวิรัติและไม่มีรูปแบบตายตัว แต่มุ่งเน้นในเรื่องสุขภาพด้วยการรับประทานอาหารจากพืชเป็นหลัก
มีงานวิจัยมากมายชี้ให้เห็นว่าการรับประทาน Plant-based diet ไม่เพียงแต่ช่วยลดอัตราการเกิดโรคมะเร็ง แต่ยังลดความเสี่ยงการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆ (NCDs) ด้วย ทั้งโรคอ้วนโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวานประเภทที่สอง เป็นต้น
การลดปริมาณไขมันจากเนื้อสัตว์ ยังช่วยให้การรักษาน้ำหนักตัวทำได้ดีขึ้น และการรับประทานใยอาหารที่เพิ่มขึ้น ทำให้รู้สึกอิ่มท้องยาวนาน มีการศึกษาในผู้สูงอายุ 9,633 คน ตีพิมพ์ในวารสาร Epidemiology ปี ค.ศ. 2019 โดยจัดทำเป็นคะแนนการบริโภคพืชผัก รายงานว่าผู้สูงอายุที่มีคะแนนการบริโภคพืชผักเพิ่มขึ้น ทุก 10 คะแนน จะมีรอบเอวลดลง 2 เซนติเมตร และมีไขมันลดลง 1.1%
การออกกำลังกาย ช่วยลดเซลล์มะเร็งในกระแสเลือด ทั้งนี้ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งหลายชนิด เช่น ช่วยควบคุมฮอร์โมนที่มีส่วนในการเกิดมะเร็ง ส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน เร่งการเคลื่อนผ่านของอาหารในลำไส้ จึงสามารถลดการสัมผัสต่อสารก่อมะเร็งในทางเดินอาหาร และช่วยควบคุมน้ำหนักตัวและป้องกันโรคอ้วน
อย่างไรก็ตาม การดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากโรคมะเร็ง ต้องอาศัยการดูแลสุขภาพองค์รวม ทั้งเรื่องของอาหาร การออกกำลังกาย อารมณ์ การนอนหลับอย่างมีคุณภาพ และการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ไม่มีมลพิษ ด้วยการใช้ชีวิตประจำวันที่ดีต่อสุขภาพ (Healthy Lifestyle) “เพราะสุขภาพดีคือสมบัติที่สำคัญที่สุด”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี