ในยุคที่โลกไร้พรมแดนทุกมิติทั้งการสื่อสาร การเดินทางของผู้คน การค้า การลงทุน ก็ไม่ต่างกัน แต่การที่นักลงทุน ภาคธุรกิจจะรุกคืบไปต่างประเทศ ต้องทำการบ้านสำรวจพฤติกรรม ความต้องการของผู้บริโภคเชิงลึก ศึกษาตลาดและคู่แข่ง เพื่อวางแผนธุรกิจให้รัดกุม ปัจจุบัน จะเห็นว่าธุรกิจและนักลงทุนไทยจำนวนไม่น้อยที่ยกทัพไปปักหมุดสร้างฐานการผลิตในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะกลุ่มซีแอลเอ็มวี ทั้งกัมพูชา สปป.ลาวเมียนมา และเวียดนาม
เริ่มที่กัมพูชา ภาพรวมเศรษฐกิจของกัมพูชา มีการขยายตัวค่อนข้างดีมากในปี 2567 คาดจะมีอัตราเติบโตราว 6% นอกจากนี้ ประเทศยังมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลายด้านโดยเฉพาะระบบโลจิสติกส์ เช่น ทางด่วนสายพนมเปญ-สีหนุวิลล์ ที่สร้างเสร็จแล้ว ช่วยลดเวลาการเดินทางเหลือ2 ชม. จาก 4 ชม. อยู่ระหว่างการก่อสร้างเส้นทางจากพนมเปญ-บาเวต การพัฒนาโครงการระบบราง ที่ไม่เพียงขนส่งผู้คน แต่ยังเอื้อให้การขนส่งสินค้าในอนาคต ซึ่งหากแล้วเสร็จ จะทำให้สินค้าที่นำมาจำหน่ายในกัมพูชาถูกลงปลุกการใช้จ่าย
นอกจากนั้น กัมพูชา เป็นประเทศที่ติดกับไทย มีประชากร 17.8 ล้านคน ทว่า ลักษณะประชากรศาสตร์น่าสนใจ เมื่อผู้คนอายุ 20-27 ปี เป็นวัยทำงานมีสัดส่วนถึง ร้อยละ 40ถือเป็นโอกาสในการทำมาค้าขายสินค้าได้
ขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจของกัมพูชาก็มีความน่าสนใจเพราะจากการคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ประเมินการเติบโตทางเศรษฐกิจของกัมพูชาในปี 2567 จะอยู่ที่ร้อยละ 6.1 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.3 ในปี 2566 ซึ่ง ได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคและระดับโลก โดยเฉพาะจีนและสหรัฐอเมริกา ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในปีนี้จะอยู่ที่ร้อยละ 3 ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของธนาคารแห่งชาติกัมพูชาที่คาดการณ์ไว้อยู่ที่ร้อยละ 6.4
ดังนั้น ภาพรวมทิศทางเศรษฐกิจของกัมพูชาในปี 2567 จึงยังมีแนวโน้มที่ดี โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่กลับมาฟื้นตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจกัมพูชายังคงเผชิญกับปัจจัยภายนอกและความไม่แน่นอนหลายประการรวมถึงความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และความเสี่ยงจากสงครามทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจส่งผลให้กระแสการค้าระหว่างประเทศ การลงทุน การท่องเที่ยว มีความไม่แน่นอน
แม้กัมพูชาเป็นประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงแต่แง่การลงทุน ไทยยังเป็นอันดับ 6 รองจากจีน เกาหลี สหราชอาณาจักร เวียดนาม และมาเลเซีย โดยปี 2566 กัมพูชาได้อนุมัติโครงการลงทุนไปจำวน 268 โครงการ ซึ่งสร้างงานราว 307,000 อัตรา โดยโครงการเหล่านี้มุ่งเน้นด้านอุตสาหกรรม โครงสร้างพื้นฐานการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรและการท่องเที่ยวเป็นหลัก
ทั้งนี้ จีน สิงคโปร์ และมาเลเซีย จัดเป็นนักลงทุนจากต่างชาติรายใหญ่ที่สุดสามอันดับแรกของกัมพูชาในปี 2566 โดยปริมาณการลงทุนจากจีนครองสัดส่วน 66% ของการลงทุนทั้งหมด ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ข้อตกลงการค้าเสรีกัมพูชา-จีน และกฎหมายด้านการลงทุนฉบับใหม่ของกัมพูชาล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเข้าสู่กัมพูชา
นอกจากนี้ แผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) ยังเป็นส่วนสำคัญที่ดึงดูดนักลงทุนจากจีนเข้าสู่กัมพูชามากขึ้น โดยการลงทุนใหม่ๆ จะนำมาซึ่งเงินทุน เทคโนโลยี และโอกาสในการจ้างงานแก่ประชาชนชาวกัมพูชา
ส่วนประเทศเพื่อนบ้านอีกรายอย่างเวียดนาม การที่เศรษฐกิจของเวียดนามเติบโตเร็วที่สุดในอาเซียน และพบว่าปี 2566 ที่ผ่านมายอดขายปลีกสินค้าทั้งหมดของเวียดนามมีมูลค่าสูงถึง 180,000 ล้านดอลลาร์ โดยข้อมูลของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ โดยสถานการณ์ตลาดสินค้าอุปโภค-บริโภคของเวียดนาม (Fast-moving consumer goods -FMCG) ว่า มีอัตราการเติบโตที่เร็วที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และมีแนวโน้มเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคตตามเทรนด์และพฤติกรรมของผู้บริโภคชาวเวียดนาม
สอดคล้องกับตามรายงานของสํานักงานสถิติทั่วไป ยอดขายปลีกสินค้าทั้งหมดของเวียดนามมูลค่ารวม 180,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2566 ส่วนใหญ่เป็นสินค้า FMCG ซึ่งการเติบโตของสินค้า FMCG นั้นมาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจและรายได้ต่อหัวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อสินค้าต่างๆ มากขึ้น ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ที่มีอายุการใช้งานไปจนถึงสินค้าอุปโภค-บริโภคที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
สินค้า FMCG เป็นสินค้าประเภทหนึ่งที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว นอกจากการเติบโตของผู้บริโภครุ่นใหม่แล้ว ผู้สูงอายุหรือประชากรที่มีอายุ 60 ปี ขึ้นไป ในเวียดนามมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความต้องการบริโภคของผู้บริโภควัยกลางคนและผู้สูงอายุก็จึงเปลี่ยนไปเช่นกัน ผู้บริโภคกลุ่มดังกล่าวมีความต้องการสินค้าอุปโภคและบริโภคเป็นส่วนใหญ่
ส่วนแนวโน้มในปี 2567 อุตสาหกรรม FMCG ของเวียดนามยังมีศักยภาพมากมาย โดยมีแนวโน้มการฟื้นตัวและเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม นอกจากโอกาสแล้ว ยังมีอุปสรรคและความท้าทายมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคในระยะสั้นอีกด้วย ดังนั้น แบรนด์และธุรกิจต่างๆ จําเป็นต้องติดตามความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจท้องถิ่น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของประชากรและแนวโน้มผู้บริโภค เพื่อปรับตัวได้อย่างยืดหยุ่นให้เข้ากับความท้าทายในระยะสั้น และสร้างกลยุทธ์ในระยะยาวได้
ศักยภาพของอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภค-บริโภคในเวียดนามมาจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจเวียดนาม และการเพิ่มขึ้นของรายได้ต่อหัว ทำให้ความต้องการของผู้บริโภคมีมากขึ้น นอกจากนี้ผู้บริโภคเวียดนามมีแนวโน้มให้ความสำคัญผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แนวโน้มที่เพิ่มขึ้นนี้ได้กระตุ้นให้ผู้ผลิตลงทุนในการผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างแบรนด์สีเขียวที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืน
จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยในกลุ่มสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในการนำสินค้า FMCG เข้ามาในตลาดเวียดนามมากขึ้น เนื่องจากสินค้าไทยได้รับความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคเวียดนามว่าเป็นสินค้าที่มีคุณภาพดีมีความปลอดภัย และมีราคาที่สมเหตุสมผล
นอกจากนี้ ผู้ส่งออกสินค้า FMCG ที่ต้องการเข้ามาจำหน่ายในตลาดเวียดนามควรคำนึงถึงการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบรับกระแสการให้ความสำคัญกับการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของผู้บริโภคเวียดนามดังกล่าว
(ติดตามตอนต่อไปสัปดาห์หน้า)
โดย ดาโน โทนาลี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี