เชื่อว่าหลายๆ คนต้องทนกับอาการเหล่านี้ที่แก้ไม่หาย ไม่ว่าจะเป็น ท้องอืด สิวเรื้อรัง ผื่นคัน ปวดหัว ซึ่งเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ จนเป็นอาการเรื้อรัง ทำให้ต้องทน หรือต้องใช้ยาต่อเนื่อง ซึ่งอาการเหล่านี้อาจเกิดจากอาหารบางชนิดที่รับประทานเข้าไป

แพทย์หญิงกฤดากร เกษรคำ แพทย์ American Board of Anti-Aging Medicine จาก Addlife Anti-Aging Center ชั้น 2 ไลฟ์เซ็นเตอร์ (คิวเฮ้าส์ ลุมพินี) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ใครที่ต้องทนกับอาการเหล่านี้ จนต้องใช้ยาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น ท้องอืด ท้องผูก สิวเรื้อรัง ผื่นคัน ผิวหนังอักเสบเรื้อรัง ปวดหัว ไมเกรน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ข้ออักเสบ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย น้ำหนักขึ้นไม่ทราบสาเหตุ วิตกกังวล ซึมเศร้า ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ เรื้อรัง ทำให้ต้องใช้ยาต่อเนื่องเพื่อคุมอาการ เมื่อหยุดยาอาการก็กลับมาเป็นซ้ำอีก ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง ทำให้รักษาได้ไม่ตรงจุด

แต่เชื่อหรือไม่ว่า อาการเหล่านี้อาจมีสาเหตุมาจากอาหารบางชนิดที่เรารับประทานเข้าไป ซึ่งจะไปก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อภูมิคุ้มกันในร่างกายผ่านแอนติบอดีชนิด IgG (Immunoglobulin G) ได้โดยร่างกายจะสร้างแอนติบอดี มาต่อต้านอาหารที่กระตุ้น เมื่อเกิดปฏิกิริยาต่อต้านก็จะทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง ระบบภูมิคุ้มกันแปรปรวน อาจเรียกได้ว่ามีภาวะ Food Intolerance หรือ ภูมิแพ้อาหารแฝง

ภูมิแพ้อาหารแฝง ไม่ใช่การแพ้แบบเฉียบพลันจนเราสังเกตได้ด้วยตัวเอง ซึ่งถ้าปล่อยไว้นานๆ อาจกลายเป็นโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภาวะวิตกกังวล ซึมเศร้า มีอาการปวดอักเสบเกิดขั้นได้ โดยอาหารที่มักกระตุ้นการแพ้ผ่าน IgG ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากนม ไข่ แป้งสาลี ธัญพืช ถั่วต่างๆ รวมถึงยีสต์ เช่น เบเกอรี่ ขนมปัง อาหารหมักดอง น้ำส้มสายชู เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ในแต่ละคนก็จะไวต่อชนิดของอาหารที่แตกต่างกัน ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือ การเจาะเลือดตรวจหาชนิดของอาหารที่กระตุ้นการแพ้ ซึ่งสามารถตรวจได้ถึง 222 ชนิด เมื่อเราทราบชนิดของอาหารที่แพ้ ก็จะสามารถควบคุมเฉพาะอาหารที่แพ้ได้ ไม่ต้องจำกัดอาหารแบบเดาสุ่ม อย่างไรก็ดี ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้ชำนาญการเพื่อวางแผนการรักษาและปรับโภชนาการ นอกจากนี้ ภาวะไม่สมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ หรือการที่มีภาวะลำไส้รั่ว ก็ส่งผลต่อภาวะภูมิแพ้อาหารแฝงได้เช่นกัน