พระราชวังจันทรเกษมในอดีต
การส่งเสริมให้ชุมชนมองเห็นต้นทุนทางวัฒนธรรมนั้น นอกจากจะส่งเสริมการ “เที่ยวชุมชนยลวิถี” แล้ว กระทรวงวัฒนธรรมยังได้จัดงานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ วิถีถิ่น วิถีไทยอีก ๔ ภาคภาคกลางนั้นได้จัดงานนี้ขึ้นโดยเน้น “ศาสตร์ศิลป์ตระการตา เลอค่ามรดกวัฒนธรรม” ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ด้วยเหตุที่เมืองนี้เป็นเมืองที่ได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลก ดังนั้นการจัดงานจึงมีการแสดงมหรสพมากมาย เช่นโขน ละคร ลิเก หนังใหญ่ การแสดงศิลปวัฒนธรรมจากศิลปินพื้นบ้าน การสาธิตมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะวิถีชาววัง เช่น การทำหัวโขนงานช่างดอกไม้สด งานช่างแกะสลัก งานช่างแทงหยวก รวมทั้งขนม อาหารที่สืบรสชาติดั้งเดิมแต่งตัวย้อนอดีตสมัยอยุธยา เที่ยววัดชมวังในยามค่ำคืน (Night Museum) การสาธิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากวัฒนธรรมไทย และผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาจากกลุ่มจังหวัดภาคกลางและภาคตะวันออก ๒๕ จังหวัด สำหรับพระราชวังจันทร์เกษม หรือวังหน้านั้น เป็นวังที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำป่าสัก (คลองคูขื่อหน้า) ตำบลหัวรอ มีหลักฐานจากพระราชพงศาวดารสันนิษฐานว่า สร้างขึ้นประมาณปี พ.ศ.๒๑๒๐ สมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช เพื่อให้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยามเสด็จจากเมืองพิษณุโลก และประทับในยามมาเฝ้าพระราชบิดาที่กรุงศรีอยุธยา พระราชวังแห่งนี้ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงใช้เป็นกองบัญชาการรับศึกหงสาวดีเมื่อปี พ.ศ.๒๑๒๙ ด้วย นอกจากนี้ได้เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์และพระมหาอุปราชที่สำคัญถึง ๘ พระองค์ คือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช, สมเด็จพระเอกาทศรถ,เจ้าฟ้าสุทัศน์, สมเด็จพระนารายณ์มหาราช,ขุนหลวงสรศักดิ์ (พระเจ้าเสือ), สมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ, สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ,กรมพระราชวังบวรมหาเสนาพิทักษ์
พระราชวังจันทรเกษมปัจจุบัน
ภายหลังจากการเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ ๒ เมื่อ พ.ศ.๒๓๑๐ พระราชวังจันทรเกษมได้ถูกทิ้งร้างจากภัยสงคราม จนกระทั่งสมัยกรุงรัตนโกสินทร์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ทรงโปรดฯให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชิดเชื้อพงศ์ เป็นแม่กองในการดูแลก่อสร้างพระตำหนักและพลับพลาที่ประทับเมื่อ พ.ศ.๒๔๐๔เพื่อใช้สำหรับเป็นที่ประทับในเวลาที่พระองค์เสด็จประพาสพระนครศรีอยุธยา และโปรดพระราชทานนามว่า พระราชวังจันทรเกษมเมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ.๒๔๓๖ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ได้พระราชทานพระราชวังจันทรเกษมให้เป็นที่ทำการของมณฑลกรุงเก่า โดยใช้พระที่นั่งพิมานรัตยาเป็นที่ทำการ และพระยาโบราณราชธานินทร์ สมุหเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่าได้สร้างอาคารที่ทำการโดยย้ายที่ว่าการมณฑลจากพระที่นั่งพิมานรัตยามาตั้งที่อาคารที่ทำการภาค พระยาโบราณราชธานินทร์นั้นได้รวบรวมวัตถุสิ่งของสำคัญในบริเวณกรุงเก่าและบริเวณใกล้เคียงไว้เป็นจำนวนมาก มาเก็บรักษาไว้ที่พระราชวังจันทรเกษม จนในปี พ.ศ.๒๔๔๕ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงแนะนำให้พระยาโบราณราชธานินทร์ จัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ ที่เรียกว่า โบราณพิพิธภัณฑ์ โดยใช้ตึกโรงม้าพระที่นั่งเป็นที่เก็บรวบรวม ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๔๗ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริให้ย้ายวัตถุต่างๆ จากโรงม้าพระที่นั่งเข้ามาเก็บรักษาและตั้งแสดงที่บริเวณอาคารพลับพลาจตุรมุข และต่อเติมระเบียงตามแนวอาคารด้านทิศเหนือและทิศตะวันออก เพื่อจัดตั้งวัตถุ ศิลาจารึก และประติมากรรมต่างๆ ใช้ชื่อพิพิธภัณฑ์ว่า อยุธยาพิพิธภัณฑ์ ต่อมาในวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๙ กรมศิลปากรได้ประกาศให้อยุธยาพิพิธภัณฑ์ เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ในนาม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม ด้วยความสำคัญขอสถานที่และบรรยากาศราชสำนักอยุธยา-รัตนโกสินทร์ ชาวอยุธยาได้พากันแต่งองค์ทรงเครื่องย้อนอดีตมาร่วมงานพิธีเปิด โดย ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีร่วมกับคณะและจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งต่างยินดีกับงานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ ที่ทำให้มีนักท่องเที่ยวได้เรียนรู้วิถีคนอยุธยาในราชสำนักวังหน้า และซื้อของกันตลอดงาน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี