ภายหลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 กันยายน คือการนับหนึ่งอย่างแท้จริง ของคณะรัฐมนตรีแพทองธาร 1 ที่จะสามารถเข้าบริหารราชการแผ่นดินได้ ผ่านการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หนึ่งในนั้น คือนโยบายการต่างประเทศ
คณะรัฐมนตรีไทยแถลงว่า ความท้าทายในขณะนี้ ประเทศไทย กำลังเผชิญความท้าทายจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนไปเกิดการแบ่งฝ่ายแยกขั้ว ระหว่างประเทศมหาอำนาจ และประเทศต่างๆ การกีดกันทางการค้า การใช้กฎระเบียบโลก สร้างอุปสรรคทางอ้อมในการแข่งขัน ส่งผลให้ทุกประเทศจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนท่าที และยุทธศาสตร์ในการดำเนินนโยบายภาครัฐ และปรับท่าทีของประเทศในการมีปฏิสัมพันธ์กับนานาประเทศด้วย
นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ให้คำมั่นที่จะรักษาจุดยืนของการไม่เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งระหว่างประเทศ และจะดำเนินความสัมพันธ์กับนานาประเทศอย่างจริงใจและสร้างสรรค์ ในกรอบของกฎหมายระหว่างประเทศและบรรทัดฐานสากล โดยมีผลประโยชน์ของชาติเป็นแกนกลางสำคัญ และมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับนานาประเทศเพื่อส่งเสริมสันติภาพ และความมั่งคั่งร่วมกัน เพื่อให้ประเทศไทยเป็นพื้นที่แห่งโอกาสสำหรับคนไทยและชาวต่างชาติเพื่อดึงดูดแรงงานทักษะสูงผู้ประกอบการ และนักลงทุนกลุ่มเป้าหมายเข้ามาเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทย
ขณะเดียวกัน นายกฯแพทองธาร ก็ชี้แจงว่า รัฐบาลจะเดินหน้าสานต่อนโยบายการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก และการสร้าง Soft Power เพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างกัน โดยเฉพาะตลาดใหม่ๆ เพื่อเสริมสร้างโอกาสความร่วมมือในการพัฒนาเศรษฐกิจ และแก้ไขปัญหาที่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศทั้งระบบทวิภาคี และพหุภาคี เร่งเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศคู่ค้าสำคัญ ยกระดับมาตรฐานของประเทศเพิ่มบทบาท ประเทศไทยในเวทีโลกและเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ที่รัฐบาลชุดปัจจุบันจะสานต่อจากรัฐบาลชุดที่ผ่านมา
จึงเป็นที่ชัดเจนว่า รัฐบาล แพทองธาร 1 ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนเดิมคือนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ จะยังคงสานต่อเป้าหมายจากรัฐบาลอดีตนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน โดยเฉพาะแนวทางการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก
แต่ที่มากไปกว่าเดิม คือในส่วนของนโยบาย Soft Power ซึ่งนายกรัฐมนตรี แพทองธาร เคยเป็นประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ในสมัยรัฐบาลอดีตนายกฯ เศรษฐา
ดังนั้น นโยบายของรัฐบาลปัจจุบัน จึงจะยังคงมุ่งส่งเสริมการยกระดับภูมิปัญญาพื้นบ้านไทย ไปสู่วัฒนธรรมสร้างสรรค์เพื่อการพัฒนาซอฟต์ พาวเวอร์ อย่างชัดเจนขึ้นด้วยเพราะรัฐบาลมองว่า ภูมิปัญญาเหล่านี้ เป็นศักยภาพและต้นทุนทางวัฒนธรรมของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นอาหารไทย ผ้าไทย มวยไทย ศิลปะการแสดงไทย ดนตรีไทย และสุราชุมชน ตลอดจนสินค้า OTOP ที่ริเริ่มโครงการในสมัยรัฐบาลอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร
ทั้งหมดนี้ จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลแพทองธาร 1 กำหนดไว้และเป็นความคาดหวังของคนไทยที่รอจับตาทิศทางการต่างประเทศไทยที่ครอบคลุมตั้งแต่ระดับท้องถิ่นไทยไปจนถึงเวทีโลก
ขณะเดียวกัน ระหว่างวันที่9-11 ตุลาคมนี้ นายกรัฐมนตรีแพทองธาร จะมีโอกาสแสดงความเป็นผู้นำให้ประเทศกลุ่มชาติสมาชิกอาเซียนได้ประจักษ์ เป็นครั้งแรกที่นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว ถือเป็นครั้งแรกในการเยือนเวทีสุดยอดการประชุมอาเซียน ท่ามกลางผู้นำประเทศ 21 คน
การประชุมที่นครหลวงเวียงจันทน์ ที่ปรึกษาด้านโยบายต่างประเทศของ แพทองธาร จะต้องเตรียมตัวอย่างอย่างรอบคอบ เนื่องจากผู้นำในประเทศอาเซียนได้เตรียมข้อหารือเกี่ยวกับความท้าทายที่มีอยู่และที่กำลังเกิดขึ้นในภูมิภาคนี้ โดยมีพันธกิจและการประชุมที่สำคัญมาก นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทย มีเวลาทั้งหมด 3 ชั่วโมง ที่จะแสดงสุนทรพจน์ ในเวทีผู้นำอาเซียนในวันที่ 9 ตุลาคม โดย90 นาทีแรก จะเป็นช่วงเปิดการประชุมและพิธีเปิดซึ่งคงไม่ใช่เรื่องยาก เพราะผู้นำทุกประเทศสามารถเตรียมการได้ก่อนล่วงหน้า
นอกจากนี้ ยังมีการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ในวันที่11 ตุลาคม ซึ่งผู้นำจากกลุ่มประเทศสมาชิก 18 ประเทศ จะหารือเกี่ยวกับประเด็นระดับโลก โดยมีประเทศมหาอำนาจขนาดใหญ่และมหาอำนาจขนาดกลางเข้าร่วมประชุม เช่น จีน สหรัฐอเมริกา รัสเซีย อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ หากนายกรัฐมนตรีไทยต้องการที่จะโต้แย้งข้อคิดเห็นของผู้นำเหล่านี้ ต้องมั่นใจว่า สิ่งที่เสนอจะเป็นประโยชน์ต่อองค์รวมอย่างแท้จริง
สำหรับวาระสำคัญของการประชุม 7 วาระที่จะเกิดขึ้นบนเวทีดังกล่าว คาดการณ์ว่า นายกฯแพทองธาร จะแสดงทัศนะและกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมใหญ่ระดับทวิภาคีของทุกประเทศ ได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากเป็นการประชุมนอกรอบ และไม่มีการจดบันทึกการประชุม ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและความปลอดภัยทางไซเบอร์ การคุ้มครองทางการค้าและอุปสรรคทางการค้า ความผันแปรของห่วงโซ่อุปทานวิกฤตการณ์ด้านสภาพอากาศ ความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจและสังคมและการเปลี่ยนแปลงทางประชากร
ต้องมารอดูว่า นายกรัฐมนตรีหญิงคนใหม่ของไทย จะสามารถแสดงความเป็นผู้นำคนรุ่นใหม่ ต่อหน้าสายตาบรรดาผู้นำประชาคมโลก บนเวทีที่ถือเป็น “ของจริง” ได้ดีแค่ไหน
โดย ดาโน โทนาลี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี