ในช่วงที่ลมมรสุมพัดผ่าน ฝนตกหนักแทบทุกวัน หลายคนต้องเผชิญความชื้นแฉะย่ำน้ำฝน หากไม่ระมัดระวังหรือมีการป้องกันที่ดีพอ โรคทางผิวหนังที่มากับสภาพแวดล้อมที่ชื้นแฉะและมลพิษที่ปนเปื้อนในน้ำท่วม ก็อาจทำให้เกิดโรคติดต่อ และโรคจากสิ่งแวดล้อมได้
นพ.จรัสศักดิ์ เรืองพีระกุล แห่งศูนย์การแพทย์พีระกุล ให้ข้อมูลว่า โรคที่มากับน้ำมีมากมายหลายโรค อาทิ โรคน้ำกัดเท้า (Foot Rot หรือ Trench Foot) เกิดจากการที่เท้าสัมผัสน้ำและความชื้นเป็นเวลานาน ทำให้ผิวหนังระคายเคือง ติดเชื้อ หรือเกิดแผลบางรายอาจมีอาการติดเชื้อราหรือเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วยนอกจากนี้ ในบางรายอาจมีผื่นผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา
โรคเกลื้อน มีลักษณะเป็นผื่นวงกลมหลายวง มีขุยละเอียด สีแตกต่างกัน มักเกิดบริเวณลำตัว เช่น หลัง หน้าอก ท้อง ไหล่ คอ พบมากในผู้ที่มีเหงื่อออกมาก และใส่เสื้อผ้าที่อับชื้น ขณะที่ โรคกลาก มีลักษณะเป็นผื่นวงมีขอบเขตชัดเจน มีขุย เริ่มต้นด้วยอาการคัน ตามด้วยผื่นแดงต่อมาจะลามเป็นวงออกไปเรื่อยๆ และมักจะคันมากขึ้น ส่วนใหญ่พบในบริเวณที่มีความอับชื้น เช่น หนังศีรษะ รักแร้ ใต้ราวนม ขาหนีบ ฝ่าเท้า และซอกนิ้วเท้า
รวมถึงผื่นผิวหนังอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด มีลักษณะเป็นผื่นแดงแห้งๆ ออกน้ำตาล มักเกิดในบริเวณอับชื้น ซึ่งเหมาะแก่การเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย เช่น รักแร้ ขาหนีบ ฝ่าเท้า และซอกนิ้วเท้าโรคที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้ ได้แก่ โรคเท้าเหม็น ที่เกิดจากการมีเชื้อแบคทีเรียบางชนิดบริเวณผิวหนังชั้นนอก มีอาการเท้าแห้งลอก เท้าจะมีกลิ่นรุนแรงมากกว่าปกติ มีหลุมรูพรุนเล็กๆ บริเวณฝ่าเท้าและง่ามเท้า
โรคฉี่หนู (Leptospirosis) ที่เกิดจากแบคทีเรีย Leptospira ที่ปนเปื้อนในน้ำท่วม เมื่อผิวหนังสัมผัสกับน้ำที่ปนเปื้อน อาจทำให้เกิดไข้ ปวดกล้ามเนื้อ หรือภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ไตวาย นอกจากนี้ โรคไข้เลือดออก(Dengue Fever) ไข้มาเลเรีย ก็เป็นโรคที่ต้องระวัง เพราะน้ำท่วมขังสามารถเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลาย ซึ่งเป็นพาหะนำโรค ทั้งนี้ การป้องกันที่ดีที่สุดคือหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำที่ท่วมขัง และปฏิบัติตามสุขอนามัยที่ดี เช่น ล้างมือเป็นประจำ ป้องกันยุงกัด และดูแลแผลให้สะอาด
อย่างไรก็ตาม จากสถิติได้พบว่า โรคภัยที่มาจากความชื้นในช่วงฝนตกที่เป็นกันมาก อันดับที่ 1 คือ การติดเชื้อรา (Fungal Infections) : เช่น โรคน้ำกัดเท้า (Tinea pedis) มักมีอุบัติการณ์สูงสุดอยู่ที่ประมาณ 50-70% ของผู้ที่สัมผัสน้ำท่วมนานๆ เนื่องจากการสัมผัสกับน้ำสกปรกและความชื้นที่ยาวนาน อันดับที่ 2 คือ การติดเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial Infections) : เช่น โรคผิวหนังอักเสบ (Cellulitis) หรือแผลติดเชื้อ อุบัติการณ์มักอยู่ที่15-25% ของผู้ประสบภัย ซึ่งเกิดจากการที่บาดแผลสัมผัสกับน้ำท่วมที่ปนเปื้อน
อันดับที่ 3 คือ โรคผื่นผิวหนังอักเสบ (Dermatitis) : รวมถึงโรคผิวหนังอักเสบจากการแพ้(Allergic Contact Dermatitis) อุบัติการณ์ของผื่นผิวหนังอักเสบมักอยู่ที่ประมาณ 10-20% ของผู้ที่ประสบภัยพิบัติเนื่องจากการสัมผัสกับสารระคายเคืองในน้ำสกปรก อันดับที่ 4 คือ แผลติดเชื้อจากพยาธิและปรสิต (Parasitic Infections) : เช่น สะเก็ดหรือแผลจากพยาธิหนอนพยาธิต่างๆ อุบัติการณ์อยู่ที่ประมาณ 5-10% อันดับที่ 5 คือ โรคฉี่หนู (Leptospirosis): เป็นโรคที่อาจพบได้จากน้ำท่วม อุบัติการณ์อาจอยู่ที่ 1-5% ของผู้ที่มีการสัมผัสน้ำที่ปนเปื้อน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีหนูหรือสัตว์แทะที่ติดเชื้อ ตัวเลขเหล่านี้อาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อม เช่น ความรุนแรงของน้ำท่วม การเข้าถึงบริการทางการแพทย์ และการป้องกันตัวของ
ผู้ประสบภัย
ทั้งนี้ สามารถขอรับคำปรึกษาเกี่ยวกับโรคภัยที่มาจากความชื้นและฝนได้ที่ พีระกุลคลินิกเฉพาะทางด้านเวชกรรม โทร.097-2209628 / 02-2775552
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี