พญ.ปรานี ปวีณชนา
จิตแพทย์ แนะ ครอบครัว เป็นส่วนสำคัญในการดูแลจิตใจและความรู้สึก สังเกตได้จากพฤติกรรมของเด็ก หลังลูกน้อยได้รับเหตุกระทบกระเทือนจิตใจ ก่อนส่งผลระยะยาวทางสุขภาพจิตเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรค PTSD หรือ ความผิดปกติที่เกิดหลังจากได้รับความเครียดสะเทือนใจ ส่งผลให้เด็กมีความหวาดกลัว หวาดระแวง มีพฤติกรรมแปลกแยกมีพัฒนาการต่างจากเด็กในวัยเดียวกัน และเมื่อเติบโตขึ้นเด็กเหล่านี้เพิ่มความเสี่ยงต่อการป่วยเป็น “โรคซึมเศร้า”
พญ.ปรานี ปวีณชนา จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลพระรามเก้า เผยว่า ปัจจุบันคนไทยป่วยเป็นโรคจิตเวชประมาณ 7 ล้านคน ซึ่งผู้ป่วยจิตเวชมีทุกเพศทุกวัย อาการและพฤติกรรมของคนไข้ แต่ละกลุ่มโรคมีความแตกต่างกัน คนไข้ที่ป่วยบางรายไม่รู้เลยว่าตัวเองป่วยเป็นจิตเวช ดังนั้นสิ่งที่สำคัญมาก คือ “ความรักการเอาใจใส่ ดูแลความรู้สึก หมั่นสังเกตพฤติกรรม ของคนในครอบครัว” โดยเฉพาะเด็กๆ ที่เป็นกลุ่มเปราะบาง หากเกิดเหตุการณ์ร้ายหรือเหตุการณ์รุนแรงมากระทบจิตใจ และเด็กไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่หรือบำบัดสภาพจิตใจอย่างถูกต้อง จะส่งผลระยะยาวจนกลายเป็น โรค PTSD
“โรค PTSD” (Posttraumatic Stress Disorder: PTSD) คือ อาการทางจิตเวชชนิดหนึ่งที่เกิดจาก ภาวะผิดปกติทางจิตใจที่เกิดภายหลังจากการพบเหตุการณ์รุนแรง สะเทือนใจ เช่น การถูกทำร้ายร่างกาย ประสบอุบัติเหตุ การรอดชีวิตจากภัยพิบัติ หรือถูกบูลลี่จากเพื่อนๆ ส่งผลให้เด็กมีสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ หวาดกลัว หวาดระแวง รู้สึกแปลกแยก ไม่สดใสร่าเริง เมื่อเด็กป่วยเป็นโรค “PTSD” จะส่งผลระยะยาวในการดำเนินชีวิตในอนาคต
โดยภาวะหลังประสบเหตุการณ์รุนแรงจะมีอาการตามมาได้ 3 กลุ่ม
1.กลุ่มอาการหลอน (Re-experience) นึกถึงภาพบาดแผลเรื่องราวกระทบกระเทือนจิตใจซ้ำๆ ห้ามไม่ได้ เกิดฝันร้ายต่างๆ รู้สึกเหมือนตัวเองถูกดึงกลับไปในเหตุการณ์นั้นอีก (Flashback)
2.กลุ่มอาการเร้า (Hyperarousal)กลุ่มอาการที่เรารับรู้ภัยคุกคามต่อชีวิต ทำให้เรามีปฏิกิริยาทางร่างกายที่จะหลบหนี มีอาการกระสับกระส่าย มีความคิดความจำไม่ดี สติแตก นอนไม่หลับ ลุกลี้ลุกลน ระแวง
3.กลุ่มอาการหลบ (Avoidance) เมื่อเจออะไรก็ตามที่เหมือนกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น จะหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่ทำให้เสมือนเขากลับไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นอีก
พญ.ปรานี ปวีณชนา ให้ข้อมูลต่อว่า เมื่อเด็กหรือคนในครอบครัวได้รับการกระทบกระเทือนด้านจิตใจอย่างรุนแรง พ่อแม่และคนในครอบครัวมีส่วนสำคัญมากในการดูแลรักษาสภาพจิตใจของผู้ประสบเหตุให้กลับมาสู่ภาวะปกติได้ โดยมีวิธีที่ทุกคนสามารถช่วยเหลือดูแลสภาพจิตใจ ดังต่อไปนี้
● รับฟังปัญหาและให้กำลังใจ รับฟังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยไม่บังคับ ในเด็กเล็กจะไม่สามารถสื่อสารบอกความรู้สึกโดยตรงได้ แนะนำให้ใช้วิธีการเล่นวาดรูป ระบายสี เพื่ออธิบายความรู้สึก รับฟังและคอยให้กำลังใจ ให้ความมั่นใจว่าเหตุการณ์ร้ายเหล่านั้นจะไม่เกิดขึ้นอีก
● ให้ลูกใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ ทั้งการเรียนและการทำกิจกรรมต่างๆ อย่างที่เคยทำก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นั้น แม้จะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากในช่วงแรกและต้องใช้เวลาปรับตัวสักพัก ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่อาจต้องขอความร่วมมือจากคุณครู ผู้รับเลี้ยงเด็ก ที่เกี่ยวข้อง พูดคุยปรึกษาข้อมูลเกี่ยวกับอาการของเด็กอยู่เสมอ
● หาวิธีสร้างความมั่นใจให้กับลูกสนับสนุนให้ลูกได้ลองตัดสินใจด้วยตนเอง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูก นอกจากนี้ คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรตำหนิลูก หากลูกมีพฤติกรรมบางอย่างที่บ่งบอกถึงพัฒนาการที่ถดถอย เช่น ฝันร้าย หวาดระแวง พูดน้อยลง เก็บตัวไม่สุงสิงกับใคร เพราะการฟื้นฟูสภาพจิตใจ เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา เราไม่สามารถกำหนดได้เลยว่า อาการเหล่านั้นจะหายไปเมื่อไหร่บางรายอาจหายเป็นปกติ แต่บางรายฝังใจ มีอาการต่อเนื่องจนถึงวัยผู้ใหญ่ หรือตลอดชีวิต
● เข้ารับความช่วยเหลือจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ การบำบัดด้วยวิธีต่างๆ ตามคำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญจะช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจของเด็กที่มีอาการของโรค PTSD ให้ดีขึ้นได้ โดยแพทย์อาจแนะนำให้เข้ารับการบำบัดความคิดและพฤติกรรม CBT หรือ Cognitive
Behavioral Therapy จะช่วยให้เด็กเข้าใจความคิดและความรู้สึกของตัวเองและปรับทัศนคติที่มีต่อสิ่งต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้น
พญ.ปรานี ปวีณชนา กล่าวปิดท้ายว่า โรคจิตเวช คือกลุ่มอาการทางจิตใจหรือพฤติกรรมที่ทำให้ผู้ป่วยมีความบกพร่องในกิจวัตรต่างๆ หรือเกิด
ความทุกข์ทรมาน ซึ่งหลายคนไม่รู้ว่าตัวเองป่วย หรือบางคนรู้แต่ไม่มาพบแพทย์ ทำให้อาการหนักขึ้นเรื่อยๆ จนนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายถึงชีวิต ตัวอย่างโรคจิตเวชที่พบบ่อยในปัจจุบัน เช่น โรคซึมเศร้า เป็นโรคที่พบได้บ่อย ผู้ป่วยจะมีอารมณ์เศร้า หดหู่ ท้อแท้ เบื่อหน่ายเป็นต่อเนื่องกันนานเกิน 2 สัปดาห์ ชอบทำคิดว่าตัวเองไร้ค่าเป็นภาระ และหากผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาจะมีอาการของความรุนแรงขึ้นจนถึงขั้นอยากตาย พยายามฆ่าตัวตาย โรคสมาธิสั้น เกิดจากการทำงานของสมองที่ผิดปกติ มีอาการ 3 แบบ คือ ขาดสมาธิ, ซน ไม่นิ่ง และใจร้อน การรักษา ต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน เช่น การกินยา การปรับพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมให้ความรู้ผู้ปกครองและครูเพื่อให้การช่วยเหลือเด็ก และมารับการรักษาต่อเนื่อง
แม้ “โรคจิตเวช” เป็นโรคที่มาจากการทำงานของสมองที่ผิดปกติ มีสารสื่อประสาททำงานไม่อยู่ในสมดุล คนไข้หรือคนรอบข้างต้องหมั่นสังเกตอาการ เช่น อารมณ์ เศร้า หงุดหงิด เบื่อหน่าย ท้อแท้ โกรธง่าย หรือหดหู่มากกว่าปกติ แนะนำให้พบจิตแพทย์ เพื่อรับการประเมินและทำการรักษาต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี