ความขัดแย้งระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้เป็นประเด็นที่หลายฝ่ายให้ความสนใจมาต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาแต่ดูเหมือนความขัดแย้งจะทวีความรุนแรงในช่วงหลายเดือนมานี้ เริ่มจากเดือนพฤษภาคม 2567 เป็นข่าวดังไปทั่วโลกเมื่อเกาหลีเหนือส่งบอลลูนที่เต็มไปด้วยขยะและสิ่งปฏิกูลข้ามฝั่งไปยังเกาหลีใต้ อีก 1 สัปดาห์ถัดมาเกาหลีใต้ตรวจพบบอลลูนขยะอีกมากกว่า 700 ลูกที่ข้ามฝั่งมายังแดนโสมขาว
เหตุการณ์ดังกล่าว คิม โย-จอง น้องสาวผู้ทรงอิทธิพลของ คิม จอง-อึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ ประกาศเตือนว่าหากเกาหลีใต้ยังคงดำเนินการแจกใบปลิวและกระจายเสียงผ่านลำโพง ซึ่งถือเป็นการยั่วยุข้ามพรมแดน อาจเผชิญการตอบโต้ครั้งใหม่จากเกาหลีเหนือ และยังบอกอีกว่าเกาหลีใต้จะต้องอับอายจากการไล่เก็บขยะทุกวันโดยไม่ได้หยุดพัก
และก็คงจะไม่ได้พักกันจริงๆ จนถึงตอนนี้ ก็ยังมีข่าวการโจมตีกันไปมา ทั้งโปรยใบปลิวโจมตี คิม จอง-อึน ผู้นำเกาหลีเหนือผ่านโดรน ปล่อยบอลลูนบรรจุสิ่งปฏิกูลลอยข้ามแดน กระทั่งล่าสุด เกาหลีเหนือระเบิดทำลายถนนและรถไฟ เส้นทางเชื่อมระหว่างสองชาติที่เส้นขนานที่ 38 ส่งสัญญาณตัดขาดความสัมพันธ์แบบถาวร ?!?
ในมุมมองของคนทั้งโลกอาจเห็นว่า เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ เป็นคู่ขัดแย้ง คู่สงครามกันอย่างที่ คิม จอง-อึนผู้นำสูงสุดแดนโสมแดงประกาศกร้าวไว้ไม่นานมานี้ แต่กลับกัน ในสิ่งที่ชาวเกาหลีทั้งเหนือและใต้รุ่นอาจุมม่าทั้งหลายถูกปลูกฝังมาตั้งแต่สมัยแยกดินแดนออกเป็น 2 ฝั่งบนล่างตอนปี 1953 คือ พวกเขาล้วนมีรากเหง้าเดียวกัน คือเป็นชาวเกาหลีด้วยกันมาแต่อ้อนแต่ออก ที่ต้องถูกทำให้พรากจากกันเพราะคนนอกเมื่อวานและวันนี้อาจทะเลาะกัน แต่วันหน้าอาจจะได้กลับมาคืนดีกัน
ต้องเข้าใจก่อนว่า ความขัดแย้งบนคาบสมุทรเกาหลี มีที่มาจากสงครามเกาหลี เป็นความขัดแย้งระหว่างเกาหลีเหนือ ที่สนับสนุนโดยสหภาพโซเวียต และเกาหลีใต้ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา สงครามปะทุขึ้นในปี1950 เมื่อเกาหลีเหนือบุกเข้ารุกล้ำเกาหลีใต้ สงครามยืดเยื้อนาน 3 ปี จนกระทั่งลงนามในข้อตกลงหยุดยิงในปี 1953 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เกาหลีถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนโดยมีเขตปลอดทหารกั้นกลาง หรือที่เรียกว่า “แนวขนานที่ 38”
ในการลงนามข้อตกลงหยุดยิงปี 1953 ทั้งสองเกาหลีไม่ได้ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพ ทำให้ทั้งสองยังคงอยู่ในสถานะสงครามมาจนถึงปัจจุบันนี้หรือพูดภาษาชาวบ้านคือ เขายังทำสงครามกันอยู่ ไม่มีใครแพ้หรือชนะในตอนนี้ แต่แค่ไม่ยิงใส่กัน ภาวะสงครามแบบนี้ทำให้เกิดความตึงเครียดทางการเมือง ไม่เฉพาะเกาหลีทั้งสอง แต่รวมถึงเหล่าประเทศมหาอำนาจที่ “ชักใย”อยู่เบื้องหลังของทั้งสองพี่น้อง
ขณะที่ประเทศมหาอำนาจใหญ่ๆ ต่างเลือกเข้าข้างเกาหลีตามระบอบการปกครอง รัสเซีย จีน อยู่ฝั่งเกาหลีเหนือ คอยสนับสนุนทั้งอาวุธ กำลังทหาร วันดีคืนดีก็จะเห็นข่าวผู้นำเกาหลีเหนือนั่งรถไฟขึ้นไปทางมอสโก ไซบีเรีย ไปเจอ วลาดีมีร์ ปูติน บ้าง ไปเจอ สี จิ้นผิง บ้าง ส่วนเกาหลีใต้ ก็มีสหรัฐฯ และเพื่อนบ้านใกล้เคียงอย่างญี่ปุ่นจับมือแน่น ผ่านการซ้อมรบร่วมกันของทหารทั้ง 2 ชาติ
ว่ากันว่า ความขัดแย้งสองเกาหลีจะเกิดขึ้นเมื่อใด รุนแรงหรือไม่ ให้จับตาดูท่าที “รัฐบาล” ของเกาหลีใต้ ถือว่ามีผลต่อการส่งสัญญาณจากเกาหลีเหนือเป็นอย่างมาก ปกติแล้วเกาหลีใต้จะมีพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรคคือพรรคอนุรักษ์นิยม ซึ่งบริหารประเทศอยู่ในปัจจุบัน ประธานาธิบดี ยุน ซอก-ยอลมีแนวคิดเข้าหาสหรัฐฯ อย่างเปิดเผย และไม่ค่อยตอบสนองกับจีนและรัสเซีย การฝึกซ้อมทางทหารของสหรัฐฯ และเกาหลีใต้จัดขึ้นทุกปี แต่ถ้าเป็นยุคของพรรคอนุรักษ์นิยม เกาหลีใต้จะทำแบบยิ่งใหญ่เหมือนเอาใจสหรัฐฯ มาก ทำให้เกาหลีเหนือไม่ชอบ
หากเป็นยุคที่พรรคเสรีนิยมประชาธิปไตยก้าวหน้าขึ้นมาบริหารประเทศ เช่น ในยุคของ อดีตประธานาธิบดีมุน แจ-อิน เกาหลีใต้ก็ยังมีจุดยืนเดิม คืออยู่ฝ่ายสหรัฐฯ เพียงแต่จะไม่ทำอะไรออกนอกหน้าจนเกินงาม บ่อยครั้งที่นัดพูดคุยเพื่อหาทางประสานรอยร้าวของสองพี่น้องในอดีต ตัวของ มุน แจ-อิน เองก็เคยเป็นผู้ประสานให้ โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตผู้นำสหรัฐฯ และ ผู้นำคิม ได้พบปะกันเพื่อหาข้อเจรจาเรื่องปลดอาวุธนิวเคลียร์ มาแล้วด้วย
แล้วเมื่อไหร่ คาบสมุทรเกาหลีจะสงบ?
ในแง่ของการเมือง มหาอำนาจของโลกทั้งทางฝั่งประชาธิปไตยและคอมมิวนิสต์ อาจเห็นเป็นทางเดียวกันคือ ถ้าสองเกาหลีรวมชาติกัน แล้วเลือกระบอบการปกครองอย่างใดอย่างหนึ่งไปเลย อีกฝ่ายก็กลายเป็นสูญเสียเพื่อสมาชิกไปอีกหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นเพื่อนสมาชิกที่มีคุณภาพ ถ้ารวมชาติแล้วเลือกเป็นประชาธิปไตย จีน รัสเซีย คงไม่ยอมแต่ถ้ารวมชาติแล้วเลือกเป็นคอมมิวนิสต์สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ก็คงไม่ยอมเหมือนกัน
ในแง่เศรษฐกิจ ในช่วงที่เกาหลีทำสงครามกัน พื้นที่ทางเกาหลีใต้ถูกทำลายเสียส่วนใหญ่ ทรัพยากรต่างๆ แทบไม่เหลือ แต่เกาหลีใต้ใช้เวลาไม่กี่สิบปี พัฒนาตัวเองขึ้นมาจนนำหน้าหลายประเทศใหญ่ๆ ในโลกไปได้ ติด Top 10 ประเทศเศรษฐกิจดีของโลก
ส่วนเกาหลีเหนือเอง ยังเต็มไปด้วยทรัพยากรใต้ดิน โครงสร้างพื้นฐานต่างๆที่ญี่ปุ่นเคยสร้างไว้สมัยที่เคยเข้ามายึดครองเกาหลีอยู่ช่วงหนึ่งในอดีต ก็ไม่ได้ถูกทำลาย และเกาหลีเหนือยังมีประชากรกว่า 30 ล้านคนที่สามารถเป็นแรงงานพัฒนาประเทศได้ ซึ่งสามารถทดแทนกับภาวะการเกิดที่ต่ำลงเรื่อยๆ ของเกาหลีใต้เรียกว่า ถ้าทั้งสองเกาหลีรวมชาติกันสำเร็จ มีโอกาสที่จะแซงหน้าเพื่อนบ้านอย่างญี่ปุ่นได้แน่นอน อาจใช้เวลาไม่เกิน 20 ปี
ต้องยอมรับว่าความสัมพันธ์สองเกาหลีเป็นความสัมพันธ์แบบลมเพลมพัด บทจะทะเลาะก็ทะเลาะกันแรง ต่างฝ่ายต่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเกาหลีเหนือก็จะเดินหน้ายิงขีปนาวุธระเบิดทำลายเส้นทางเชื่อมต่อ ส่งบอลลูนเข้าไปป่วน หนักสุดถึงขั้นประกาศตัดสัมพันธ์และขู่ทำสงคราม ส่วนเกาหลีใต้ก็ประณามสิ่งต่างๆ ที่เกาหลีเหนือทำไป และเดินหน้าสานสัมพันธ์ซ้อมรบกับสหรัฐฯ ไปเรื่อยๆ
แต่หลายคนเชื่อว่า พวกเขาคงไม่กล้ารบกันจริงๆ เพราะยังไงเสียก็เป็นคนเกาหลีเหมือนกัน อีกทั้งบรรดาชาติมหาอำนาจที่คอยหนุนหลัง ก็คงไม่อยากให้สองเกาหลีรบกัน เพราะเสี่ยงที่จะต้องสูญเสียทั้งอาวุธและทรัพยากรต่างๆในช่วงที่โลกของเราก็กำลังเกิดสงครามและความขัดแย้งมากเกินพอแล้ว
ถึงอย่างนั้นก็ตาม จะให้ตอบคำถามชัดๆ ว่า แล้วทั้งสองเกาหลีจะขัดแย้ง ต่างฝ่ายยั่วยุกันต่อไปอีกนานแค่ไหน...คำตอบก็คงจะอยู่ในสายลม (คือไม่รู้เหมือนกัน)
โดย ดาโน โทนาลี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี