เบาหวาน ไม่ขาดหวาน เมื่อ น้ำตาล อยู่รอบตัวเรา ทำความเข้าใจข้อเท็จจริงอีกด้านของน้ำตาล และความหวาน ที่แม้จะพยายามลดปริมาณการบริโภคลงมากเท่าไหร่ หรือหา สารให้ความหวานแทนน้ำตาล เพื่อให้ดีต่อสุขภาพแค่ไหน แต่เชื่อหรือไม่ว่า ร่างกายคนเราทุกวันนี้ ก็ยังคงรับน้ำตาล และความหวานในปริมาณที่ เกินพอดี อยู่ดี โดยเฉพาะ ผู้ป่วยเบาหวาน
น้ำตาล และ ความหวาน เป็นส่วนหนึ่งของรสชาติในชีวิตประจำวันของคนเรา โดยเฉพาะเมื่อการศึกษาพบว่า รสหวาน ช่วยทำให้เราอารมณ์ดีขึ้นได้จริงจากการกระตุ้นให้สมองหลั่งโดปามีน (Dopamine) หรือ ฮอร์โมนแห่งความสุข ออกมา
แต่ไหนแต่ไร น้ำตาล ถือเป็นแหล่งพลังที่สำคัญที่สุด และถูกละลายผสมในวิถีชีวิตผู้คนอยู่เสมอ ทั้ง ปรุงรสชาติ ขับเน้นลักษณะอาหาร เช่น ความหนืด สี เก็บถนอมอาหาร รวมทั้งเป็นส่วนประกอบอาหารทางการแพทย์
ขณะที่ เหรียญอีกด้านของความหวานนั้น การศึกษาพบว่า น้ำตาล มีผลกระตุ้นที่ตัวรับตัวเดียวกับ มอร์ฟีน แต่มีฤทธิ์อ่อนกว่า และทำให้เกิดความพึงพอใจได้ การขาดอาจมีผลให้เกิดความอยาก และหงุดหงิดได้ นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไม ทางการแพทย์จัดน้ำตาลอยู่ในหมวดหมู่เดียวกับสารเสพติด
ที่สำคัญ น้ำตาลยังมีผลโดยตรงต่อน้ำหนัก หรือดัชนีมวลกาย (BMI) กระบวนการเมตาบอลิสซึม โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวาน ยังไม่นับเรื่องหัวใจ หลอดเลือด สมอง การชอบรสหวาน(Sweet preference) และการเลือกอาหารอีกด้วย
ทพญ. ปิยะดา ประเสริฐสม อดีตทันตแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมอนามัย ผู้จัดการเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน ชี้ประเด็น น้ำตาล ที่เกี่ยวข้องกับ ผู้ป่วยเบาหวาน โดยตรงก็คือ แม้ว่า น้ำตาล คือสิ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานต้องเลี่ยง แต่พวกเขากลับรับรู้รสหวานได้น้อยกว่าคนปกติ
“คนปกติจะรับรู้รสหวาน เมื่อละลายน้ำตาล 1 ช้อนชา ในน้ำ 1 แก้ว ผู้ป่วยเบาหวานจะรับรู้รสหวานเมื่อละลายน้ำตาล 1-2 ช้อนโต๊ะ”นี่เป็นสาเหตุสำคัญ ทำให้ผู้ป่วยฯ บริโภคน้ำตาลมากขึ้น และน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เมื่อรสหวาน เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และน้ำตาลอยู่รอบตัวเรา ตั้งแต่เด็กตัวน้อย ไปจนถึงผู้ใหญ่ตัวโต ล้วนตกอยู่ในวงล้อมของความหวานแทบทั้งสิ้น
เมื่อสัดส่วนพลังงานจากขนม และอาหารว่าง จากปริมาณที่แนะนำต่อวัน หรือ RDA คือ 10-15 % แต่ผลสำรวจพฤติกรรมการบริโภคขนมของเด็กไทยเมื่อปี 2547 กลับพบว่า เด็กไทย 3-5 ปี ได้รับพลังงานจากขนมสูงถึง 23 % RDA เลยทีเดียว และไม่มีแนวโน้มลดลงเรื่อยมา
ขณะที่ ปริมาณน้ำตาลที่เด็กควรได้รับต่อวัน ไม่ควรเกิน 6 ช้อนชา แต่ในน้ำอัดลมที่อยู่รอบตัวนั้นมีปริมาณน้ำตาลละลายอยู่ถึง 8-12 ช้อนชา
ส่วนบรรดาเครื่องดื่มคู่ใจของบรรดามนุษย์ออฟฟิศ ก็มีส่วนผสมของความหวาน และให้พลังงานอยู่ราว 100 - 425 kcal เมื่อเทียบเคียงกับผลสำรวจปริมาณการบริโภคน้ำตาลของประชากรไทย ตั้งแต่ปี 2554 - 2565 พบว่า คนไทยกินน้ำตาลเฉลี่ยอยู่ที่ 26 ช้อนชาต่อวัน แสดงให้เห็นว่า ความหวานอยู่รอบตัวเรานั้น ไม่ได้เกินจริงเลย. ยิ่งไปกว่านั้น การบริโภคเครื่องดื่มรสหวานที่ใช้น้ำตาล ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานอีกด้วย
มาถึงตรงนี้ การพยายาม “ลดหวาน” แต่มองหาสารให้ความหวานแทนน้ำตาล ดูน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่อยากเอาใจใส่สุขภาพ แต่ยังไม่อยากขาดหวาน
“ถ้าคุณลดน้ำตาล แต่คุณยังใช้สารทดแทนความหวาน นั่นก็เท่ากับว่าคุณก็ยังติดหวาน” ทพญ. ปิยะดา ตั้งข้อสังเกต อีกทั้งยังยืนยันด้วยว่า พฤติกรรมดังกล่าว อาจทำให้แนวโน้มที่จะบริโภคน้ำตาลมีระดับที่มากขึ้น
นั่นก็เพราะ เครื่องดื่มที่ใช้วัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาล และน้ำผลไม้นั้น ไปเพิ่มความเสี่ยงประมาณ 25% และ 8% ตามลำดับ ขณะที่เครื่องดื่มรสหวานที่ใช้น้ำตาล เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน 18% ต่อหน่วยบริโภคต่อวัน
ที่สำคัญ ถึงแม้ สารให้ความหวานจะมีหลายชนิด แต่บางชนิดก็จะให้ความหวานจัด และบางชนิดแทบไม่ให้คุณค่าทางโภชนาการเลย มิหนำซ้ำยังซ้ำเติมความเสี่ยงต่อสุขภาพให้เพิ่มมากขึ้นไปอีก
“การเสพติดความหวาน จะไม่ลดการกินน้ำตาล ก็ยังเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน จากเครื่องดื่ม จากการบริโภคที่ทุกคนคิดว่าปลอดภัย จริงๆ แล้วมันไม่ปลอดภัย เพราะยังใช้สารทดแทนความหวาน ขณะท่ี คุณเคยเติมน้ำตาลลงอาหารคาวเท่าไหร่ คุณก็ยังเติมเท่าเดิม” ผู้จัดการเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานอธิบาย
ถ้าอย่างนั้น ทางเลือก หรือ ทางแก้ ของสมการ “หวานเสพติด” ควรจัดการด้วยวิธีไหน “ควรกินน้ำเปล่า หรือถ้าคำนวณเป็น ก็กินต่อ 1 ครั้ง ไม่เกิน 4 กรัม” เธอตอบ
ทพญ. ปิยะดา มองว่า น้ำตาลไม่ได้เป็นสิ่งจำเป็นต่อผู้คนเลย เมื่อความหวานล้วนอยู่รอบตัวเราอยู่แล้ว “ในความเป็นจริงถ้าคนเรากินอาหารหลัก 3 มื้อปกติ ตามหลักโภชนาการ คุณก็จะได้แป้งอยู่แล้ว และแป้งก็จะเป็นตัวย่อยให้เกิดน้ำตาลอยู่แล้ว แต่คนที่ไปงดน้ำตาลเยอะๆ งดแป้งเยอะๆ ก็อาจจะเกิดภาวะน้ำตาลในกระแสเลือดต่ำ ซึ่งก็จำเป็นต้องกินน้ำตาลเข้าไปอีก”
นั่นหมายความว่า หากผู้ป่วยเบาหวานไม่กินน้ำตาลเลย แต่กินอาหารครบ 5 หมู่ 3 มื้อปกติ ก็จะได้รับน้ำตาลจากแป้งเข้าไปเติมให้ร่างกายในปริมาณที่พอดีอยู่แล้ว
เมื่อใจความสำคัญของ ผู้ป่วยเบาหวาน คือ ไม่ให้น้ำตาลในเลือด ต่ำ หรือ สูง เกินไป การหาสมดุลของความหวานจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่สุดสำหรับตัวผู้ป่วยเอง
-(016)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี