ก่อนอื่นขอแสดงความยินดีกับคณะผู้อ่านแนวหน้ากลุ่มหนึ่งที่ขึ้นไปยืนบนยอดสูงสุดของศิขิริยา แห่งศรีลังกาได้สมความปรารถนา แม้บางคนจะบอกเชิงบ่นว่า สงสัยคงได้แค่ไปยืนดูที่บริเวณ
เชิงเขาเท่านั้น แต่เมื่อไปถึงสถานที่แล้วไยจึงจะปล่อยให้ชาวคณะไม่ขึ้นไปบนยอดของพระราชวังแห่งนี้ เพราะ Mr.Flower ไม่มีวันปล่อยให้ชาวคณะพลาดโอกาสอย่างแน่นอน แม้จะต้องโอ้โลมปฏิโลมเป็นเวลานานพอสมควรก็ตาม
ก่อนอื่นขอเล่าสั้นๆ ว่า ศิขิริยาหรือ Sigiriya คือภูเขาแห่งสิงห์ ที่ถูกยกให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งหรือสถานที่สำคัญของศรีลังกาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลก และเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่ไปศรีลังกาหมายใจจะไปเยือนให้จงได้
ศิขิริยาอยู่บริเวณตอนกลางของศรีลังกา อยู่ในเมืองมาตาเล เป็นโบราณสถาน(วัง) บนยอดเขา โดยสมัยที่ยังงดงามบริบูรณ์นั้น จะมีสวนหิน สวนน้ำพุ สวนดอกไม้บ่อน้ำขนาดใหญ่ แต่ปัจจุบันเหลือเพียงซากปรักหักพังเท่านั้น แต่ก็ยังคงความงดงามตามสภาพที่ต้องใช้จินตนาการเข้าไปผสมอย่างค่อนข้างมาก แต่เท่าที่ได้ไปสัมผัสนั้น แม้จะเหลือเพียงซาก แต่ก็บ่งบอกได้ชัดเจนว่าสถานที่แห่งนี้เคยใหญ่โตโอ่อ่าอลังการมาก่อนเมื่อครั้งอดีต
แม้จะเหลือเพียงซากอาคารโดยเฉพาะส่วนฐาน แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่ยังหลงเหลือและงดงามมากคือภาพบรรดาสตรีนานาชาติถูกวาดบนส่วนที่เป็นหลืบของหน้าผา โดยเป็นภาพวาดแบบ fresco คือภาพที่วาดบนผนังขณะที่ผิวของผนังยังไม่แห้งสนิท ตามประวัติระบุว่าภาพที่หลงเหลือนี้มีอายุประมาณ 1,500 ปี หากภาพยังสมบูรณ์จะนับเป็นภาพ fresco ที่ขนาดใหญ่ที่สุดของโลกก็ว่าได้
การเข้าชมศิขิริยานั้นต้องใช้ทั้งความพยายามและความมุ่งมั่นเป็นอย่างมาก(สำหรับผู้ที่แข้งขาไม่ค่อยจะดีมากนัก) แล้วยังต้องเสียค่าเข้าชมคนละ 30 ดอลลาร์สหรัฐ(เรียกได้ว่าแพงเอาการเลยเชียวแหละ)
คณะของเราบุกบั่นไปจนถึงยอดของศิขิริยาได้เกือบทุกคน แล้วก็ได้ซึมซับกับความงดงามของซากวังเก่า ผสมผสานกับลมเย็นๆ บนยอดเขาสูง ที่มองไปทุกทิศทุกทางก็ได้เห็นวิวทิวทัศน์ของป่าเขาพร้อมกับได้เห็นพระจันทร์ช่วงเย็น แล้วก็ต้องรีบลงมาจากยอดเขา ก่อนที่ฝนจะเทลงมา แต่ก็ชื่นใจที่ยังได้เห็นอาทิตย์อัสดงลับขอบฟ้า
ศิขิริยาถูกสร้างโดยพระเจ้ากัสสปะโอรสของพระเจ้าดธุเสนา แต่กัสสปะมีพระมารดาเป็นหญิงสามัญชน จึงมีศักดิ์ต่ำกว่าพระอนุชาที่ชื่อโมคคัลลานะ ซึ่งมีพระมารดาเป็นเชื้อพระวงศ์ ดังนั้น กัสสปะจึงชิงราชบัลลังก์จากพระบิดา เพราะพระบิดาจะยกราชบัลลังก์ให้น้องชาย เมื่อชิงบัลลังก์ได้แล้วจึงทรงสร้างวังที่ศิขิริยาแทนวังเดิมที่เมืองอนุราธปุระ ส่วนโมคคัลลานะก็ลี้ภัยไปอยู่อินเดีย จนวันหนึ่งจึงกลับมาทวงราชบัลลังก์คืน เมื่อได้ราชบัลลังก์คืนแล้ว ก็กลับไปอยู่ ณ อนุราธปุระ แล้วทอดทิ้งศิขิริยาให้ร้างว่างเปล่า
ขอเล่าแบบรวบรัดว่าบันไดขึ้นไปถึงยอดศิขิริยามีประมาณ 1,300 ขั้น โดยมีทั้งบันไดที่ทำมาตั้งแต่โบราณกาล และบันไดเหล็กที่มาทำในยุคหลังเพื่อให้นักท่องเที่ยวปีนป่ายขึ้นไปถึงยอดเขาได้โดยสะดวกมากกว่าใช้ทางเดิม
ขอย้ำว่าจุดสำคัญๆ ของศิขิริยาคือสวนต่างๆ ทั้งสวนหิน สวนน้ำพุ บ่อน้ำ กำแพงหิน ภาพ fresco และผนังกระจก หรือ the mirror wall ที่แต่เดิมเคยถูกขัดจนมันวาวสะท้อนเงาของผู้คนได้ แต่ปัจจุบันก็ไม่ได้มีความมันวาวเหมือนเดิมแล้ว แต่ก็ยังคงความมหัศจรรย์อยู่ไม่เสื่อมคลาย และอีกสิ่งที่ต้องกล่าวถึงคือเท้าสิงห์ที่หลงเหลืออยู่หนึ่งคู่ ซึ่งอยู่บริเวณเกือบยอดสุดของ
ศิขิริยาแล้ว ขนาดเหลือเพียงเท้าสิงห์เท่านั้น แต่ก็บ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่อลังการอย่างสุดบรรยาย
ปีหน้าตั้งใจจะไปเมืองอนุราธปุระ แห่งศรีลังกา ใครสนใจจะไปด้วยกัน รีบติดต่อจองที่นั่งนะครับ เราไปกันเพียงกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น 12-15 คนครับ สนใจร่วมทริปโปรดติดต่อ 091-7233615ครับผม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี