ผศ.ดร.ชัยพร เขมะภาตะพันธ์ คณบดีวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี (College of Engineering and Technology : CITE) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) กล่าวถึงเทรนด์ที่น่าจับตามอง ปี 2025 (2568) โดยกล่าวว่า AI หรือปัญญาประดิษฐ์ ยังเป็นเทคโนโลยีที่สร้างผลกระทบต่อการใช้ชีวิต การทำงาน และการเรียน ที่ทุกช่วงวัยไม่ควรมองข้าม ควรเตรียมพร้อมเพื่อก้าวให้ทันความท้าทายใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม ทั้งนี้ AI เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญมากต่อการใช้ชีวิตของผู้คนทั่วโลกในช่วง 1 ถึง 2 ปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม AI ก็อาจมีบทบาทด้านลบได้ในแง่ของการทดแทนคนทำงานได้เช่นกัน โดย McKinsey & Company บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำ ได้สำรวจพบว่ามีการใช้งาน Generative AI เพื่อช่วยลดระยะเวลาและขั้นตอนในการทำงานที่ซ้ำซ้อนลงได้จริง นำไปสู่การทำงานที่ประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมูลค่าตลาดทั่วโลกของธุรกิจที่ใช้งาน Generative AI ในปี 2024-2030 จะมีอัตราเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 46.47 ต่อปี ดังนั้น
ในปี 2025 นี้ AI จะมีบทบาทที่สำคัญและมีเทรนด์อะไรใหม่ที่น่าจับตามองเช่นใดจึงควรต้องทำความเข้าใจต่อไป
1.AI ตัวช่วยประมวลผลข้อมูลสุดล้ำ ปัจจุบันพบว่าการสืบค้นข้อมูลผ่าน ChatGPT หรือ AI ตัวอื่นๆ มีแนวโน้มสูงขึ้น ในขณะที่การสืบค้นแบบเก่า เช่น การสืบค้นผ่าน Search Engine ต่างๆ เริ่มลดน้อยลง เนื่องจาก AI มีความสามารถมากขึ้น สรุปข้อมูลที่ต้องการได้รวดเร็วกว่า นอกจากนี้ยังสามารถช่วยทำงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลต่างๆ ผ่านคอมพิวเตอร์ได้
เช่น ร่างเอกสาร วาดรูป แปลและเรียบเรียง แต่งเพลงสำรวจงานวิจัย สรุปเนื้อหาวิชา เขียนโปรแกรม รวมไปถึงงานขึ้นต้นแบบ เขียนแบบ โครงร่าง การทดสอบไอเดีย เปรียบเสมือนมีเลขาฯหรือผู้ช่วยส่วนตัว ซึ่ง AI บางตัวสามารถสั่งการด้วยเสียงได้แล้ว รวมทั้งรองรับภาษาไทยได้ค่อนข้างดี “แต่ก็ต้องระวังผลงานที่ AI ทำออกมานั้นอาจจะมีผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง หรือมีข้อผิดพลาดได้” ซึ่งเกิดจาก Halucination ของตัว AI เอง ทำให้เหมือนอาการของคนเพ้อ ดังนั้นผู้ใช้งานยังต้องกลั่นกรองผลลัพธ์ต่างๆ ให้ดีด้วย
2.AI Agent (ทำงานแทน) ปัจจุบันเริ่มมีการทดสอบการให้ AI ทำงานแทนหรือ AI Agent โดยใช้วิธีการ LAM (Large Action Model) เช่น การค้นหาและจองโรงแรมหรือตั๋วเครื่องบิน ค้นหาและซื้อสินค้าที่ต้องการ การอ่านและส่งอีเมล การลงตารางเวลา การตอบคำถามลูกค้าโดยอัตโนมัติ เขียนและทดสอบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ นำเข้าข้อมูล spreadsheet และสร้างกราฟอัตโนมัติ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม “การให้ AI ทำงานบางอย่างได้แทนเรานั้น จำเป็นต้องให้ข้อมูลบางอย่างที่ใช้ในการเข้าถึงได้” เช่น ข้อมูลส่วนตัว ชื่อผู้ใช้งาน รหัสผ่าน เป็นต้น ซึ่งค่อนข้างมีความเสี่ยงพอสมควร เนื่องจากเราไม่เห็นกระบวนการทำงานของ AI ที่นำข้อมูลเราไปทำงาน รวมทั้งความเสี่ยงที่เกิดจากการข้อมูลสำคัญหลุดหรือถูกแก้ไขจากข้อผิดพลาดของ AI เอง ซึ่งเรื่องนี้้อาจจะต้องระวัง รวมทั้งกำหนดนโยบายในการใช้งาน AI Agent ให้ดี
ปัจจุบันผู้ให้บริการ AI ส่วนใหญ่ให้บริการผ่านระบบสมาชิก ซึ่งอาจไม่มีหรือมีค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือนรายปี สำหรับผู้ใช้บริการแบบฟรีก็ยังคงมีอยู่ต่อไป เพียงแต่ว่าในอนาคตการหารายได้จากผู้ใช้งานฟรีนั้นอาจอยู่ในรูปแบบโฆษณา ดังนั้นอาจจะได้เห็นการใช้งาน Advertisement token ซึ่งผู้ให้บริการ AI อาจจะเปิดให้กับเจ้าของธุรกิจต่างๆ ซื้อ token สำหรับคำตอบของการค้นหาที่เกี่ยวข้องกับ prompt ที่ผู้ใช้งานถามตัว AI ดังนั้นในอนาคตเจ้าของธุรกิจอาจจะต้องทำการตลาดด้วย SEO หรือซื้อ Advertisement token กับผู้ให้บริการ AI ด้วย
“จากที่ทุกคนเคยมี Email Account หรือ Chat ID ใช้กันโดยทั่วไป ต่อจากนี้คาดว่าทุกคนจะมี AI Account ที่สามารถช่วยดำเนินการต่างๆ ได้ เปรียบเสมือนการมี Jarvis เหมือนในภาพยนตร์ ช่วยงานเราต่างๆ แทน ไม่ว่าจะเป็นสั่งให้รวบรวมข้อมูล ซื้อสินค้า จองห้องพัก เขียนตอบอีเมล เปิดโปรแกรม Excel แล้วเอาข้อมูลมาคำนวณ หรือสร้างกราฟ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งานก็ต้องระวังความผิดพลาดที่อาจเกิดจากทำงานที่ผิดพลาดของ AI ได้ ดังนั้น ผู้ใช้งานจะต้องคอยระวังหรือไม่ให้เกิดผลกระทบจาก action ที่ผิดพลาดของ AI ด้วย รวมทั้งการให้ AI มี action ในงานที่อ่อนไหวต่างๆ รวมทั้งความมั่นคงด้วย” ผศ.ดร.ชัยพร กล่าว
ผศ.ดร.ชัยพร กล่าวต่อไปว่า แน่นอนว่างานที่ AI ทำออกมานั้นควรจะต้องจบหรือกลั่นกรองด้วยคนที่เป็นผู้ใช้งาน แต่ AI ก็จะลดจำนวนคนที่ต้องทำเพราะ AI ช่วยทำงานได้เร็วและมีประสิทธิภาพกว่า เปรียบเสมือนว่า ก่อนที่เราจะมีเครื่องคิดเลขใช้ เราก็ต้องเสียเวลามานั่งบวกลบคูณหารกัน แต่พอมีเครื่องคิดเลขเราก็สามารถร่นระยะเวลาการคำนวณที่ซับซ้อนได้เร็วมากขึ้น ดังนั้นเราในฐานะผู้ใช้งานจำเป็นต้องขยับขึ้นไปทำงานที่ซับซ้อนหรือใช้พลังความคิดหรือการสร้างสรรค์ที่มากยิ่งขึ้น หรือมองในภาพรวมของงานขนาดใหญ่มากขึ้น
AI ได้เข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายที่ไม่เหมือนเดิม ในด้านบวก เป็นการเข้ามาสนับสนุนการทำงาน ที่ช่วยลดขั้นตอน เพิ่มประสิทธิภาพงาน และสร้างสรรค์งานใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันในอีกด้านเป็นการเข้ามาแทนตำแหน่งงานที่ทำได้เร็วและดีกว่าอย่างแน่นอน ดังนั้นจะอยู่รอดได้ในยุคของ AI ต้องมอง AI ให้เป็นเครื่องมือที่ช่วยเราทำงานเก่งขึ้น เร็วขึ้น ดีขึ้น แต่ถ้าขาดการพัฒนาทักษะที่จำเป็นสุดท้ายเราก็จะถูกแทนที่
ทั้งนี้ หลักสูตรวิศวะ-ไอทีของ DPU ได้พัฒนาหลักสูตรระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก โดยได้นำ AI และเครื่องมือที่เกี่ยวข้องเข้ามายกระดับช่วยในการเรียนของนักศึกษา รวมทั้งการสร้างและพัฒนาตัว AI ขึ้นมาสำหรับประยุกต์ใช้งานต่างๆ โดยตรง เช่น หลักสูตรวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ หลักสูตรวิศวกรรมข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ เป็นต้น ซึ่งสอนโดยอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ พร้อมด้วยห้องปฏิบัติการเฉพาะทางที่ทันสมัย โดยที่ในแต่ละปีนักศึกษาจะทำโครงงาน หรืองานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นการพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะสำหรับตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจและอุตสาหกรรมในอนาคต
ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดได้ที่ cite.dpu.ac.th
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี