โรคอ้วน เป็นภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพกว่าที่คิด ไขมันส่วนเกินไม่ได้แค่ทำให้ดูอ้วนขึ้นแต่ยังเป็นต้นเหตุของโรคร้ายแรงที่ค่อยๆ กัดกินร่างกายจากภายในโดยไม่รู้ตัว จนก่อให้เกิดโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคมะเร็ง
นายแพทย์วรพงศ์ อนุพงศ์อนันต์ ศัลยแพทย์โรงพยาบาลเวชธานี กล่าวว่า โรคอ้วน (Obesity) คือภาวะที่ร่างกายมีการสะสมไขมันมากเกินปกติจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเฉพาะการเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรงต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคข้อเสื่อม และโรคมะเร็ง
การวินิจฉัยโรคอ้วนสามารถทำได้โดยการวัดดัชนีมวลกาย (BMI - Body Mass Index) ซึ่งคำนวณจากน้ำหนัก (กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (เมตร)ยกกำลังสอง ซึ่งคนทั่วไปควรมีค่า BMI อยู่ระหว่าง 18.5-22.9 kg/m2 หากค่าเกินกว่า 25 จะถือว่าผู้ป่วยเข้าสู่ภาวะโรคอ้วน และหากว่าค่าเกินกว่า 30 ผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนได้ ควรเข้าสู่กระบวนการลดน้ำหนักอย่างเร่งด่วน
หนึ่งในวิธีการรักษาโรคอ้วนที่นิยมในปัจจุบันคือ การผ่าตัดกระเพาะอาหาร (Bariatric Surgery) ซึ่งเป็นการรักษาทางการแพทย์ที่สามารถช่วยลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะโรคอ้วนขั้นรุนแรงและไม่สามารถลดน้ำหนักได้ด้วยวิธีอื่นๆ
ปัจจุบันการผ่าตัดกระเพาะอาหารจะใช้วิธีการผ่าตัดโดยใช้เทคโนโลยีการส่องกล้อง(Laparoscopic surgery) เป็นเทคนิค แผลเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็วโดยมี 2 วิธีดังนี้
การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร (Laparoscopic Sleeve Gastrectomy : LSG) เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมที่สุดในปัจจุบัน โดยจะเป็นการตัดกระเพาะอาหารออกประมาณ 75-80% ให้เหลือปริมาตรประมาณ 150 cc พร้อมกับตัดกระเพาะส่วนที่ผลิตฮอร์โมนที่ทำให้เกิดความหิวออกไปด้วย วิธีนี้จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ไม่ค่อยหิว และทำให้น้ำหนักลดลงอย่างมีประสิทธิภาพ
การผ่าตัดบายพาสกระเพาะอาหาร (Laparoscopic Roux-en Y Gastric bypass) เป็นการปรับโครงสร้างกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กใหม่ โดยทำให้กระเพาะอาหารมีขนาดเล็กลงและเชื่อมต่อกับลำไส้โดยตรง วิธีนี้จะทำให้การดูดซึมอาหารลดลงและลดปริมาณแคลอรี่ที่ร่างกายสามารถรับได้ แต่ในระยะยาวอาจต้องได้รับการฉีดวิตามินบางชนิดเสริม เนื่องจากร่างกายดูดซึมวิตามินได้ไม่เพียงพอ
อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนักด้วยเทคโนโลยีการส่องกล้อง Laparoscope จะต้องทำการรักษาโดยทีมศัลยแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทางร่วมกับทีมสหสาขาวิชาชีพ เพื่อให้การผ่าตัดมีความปลอดภัย และลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน
การผ่าตัดกระเพาะอาหารเหมาะกับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป, คนที่มีภาวะอ้วน หรือมีดัชนีมวลกายสูงกว่า 32.5 กก./ตร.ม. ขึ้นไป, ผู้ที่พยายามลดน้ำหนักด้วยตัวเอง ทั้งควบคุมอาหารและออกกำลังกายมาแล้วแต่ไม่ได้ผล
หลังจากที่ผ่าตัดกระเพาะอาหาร จะต้องมาพบแพทย์เพื่อติดตามอาการอย่างใกล้ชิดเพื่อดูแผลผ่าตัดและวางแนวทางการกินอาหารในระยะแรกอย่างเหมาะสมโดยในสัปดาห์ที่ 1 จะให้รับประทานอาหารเหลวใสที่รับประทานได้ง่ายเพื่อปรับสภาพกระเพาะ, สัปดาห์ที่ 2 จะให้รับประทานอาหารที่ข้นขึ้น เช่น ซุป, สัปดาห์ที่ 3 จะให้รับประทานอาหารอ่อนนุ่ม เช่น เยลลี่ คัสตาร์ดไข่ตุ๋น และสัปดาห์ที่ 4 สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้ผลการรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและป้องกันไม่ให้กลับมามีภาวะอ้วนลงพุงได้อีก
ทั้งนี้ การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อรักษาโรคอ้วนเป็นทางเลือกการรักษาที่มีประสิทธิภาพ สำหรับผู้ที่ไม่สามารถลดน้ำหนักด้วยวิธีอื่นได้และกำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากโรคที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน สำหรับผู้ที่สนใจควรเข้ามาปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อความปลอดภัยสูงสุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี