หลายปีที่ผ่านมามีแนวโน้มการเพิ่มจำนวนของผู้ป่วย “โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่” สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ทว่าอัตราการเสียชีวิตกลับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากมีเทคโนโลยีการตรวจคัดกรองและวิทยาการด้านการรักษาที่พัฒนาไปมาก เพื่อให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายมากที่สุด
นายแพทย์ณัฐชดล กิตติวรารัตน์ อายุรแพทย์เฉพาะทางด้านมะเร็งวิทยา โรงพยาบาลเวชธานี กล่าวว่า ความเสี่ยงของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ตลอดชีวิตจะพบใกล้เคียงกันทั้งเพศหญิงและเพศชาย คือประมาณ 1 ต่อ 25 คน อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่อาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามความเสี่ยงอื่นๆของผู้ป่วย ซึ่งโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เกิดจากติ่งเนื้อหรือ Polyp ในลำไส้ใหญ่ โดยปัจจุบันยังไม่สามารถทราบสาเหตุการเกิดได้อย่างแน่ชัด แต่สามารถแบ่งปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคได้ 2 ประเภท
ปัจจัยความเสี่ยงจากตัวบุคคล ได้แก่ 1.อายุ ในอดีตพบว่ามากกว่า 90% ของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ มีอายุมากกว่า 50 ปี และอายุเฉลี่ยที่พบคือ 60-65 ปี แต่ในช่วง 10 ปีหลังมานี้ อุบัติการณ์มะเร็งลำไส้ใหญ่ในผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 50 ปี เพิ่มขึ้นเรื่อยๆผู้ป่วยที่อายุน้อยที่สุดตามรายงานคือ 18 ปี2.ประวัติในครอบครัวและถ่ายทอดทางพันธุกรรม พบว่า 20% ของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ มีคนในครอบครัวเคยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่มาก่อน 3.ประวัติการเกิดติ่งเนื้อในลำไส้ มีการศึกษาพบว่า ติ่งเนื้อบางชนิดสามารถพัฒนากลายเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ แต่หากมีการตรวจพบและรักษาตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นติ่งเนื้อ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคได้
ปัจจัยความเสี่ยงจากสภาพแวดล้อม 1.ภาวะน้ำหนักเกินและขาดการออกกำลังกาย จากการศึกษาพบว่าน้ำหนักตัวมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงการเกิดโรค ขณะเดียวกันการออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญ ทำให้ลำไส้มีการทำงานและเคลื่อนตัวมากขึ้น ผลในระยะยาวจะช่วยลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้2.อาหาร ในอาหารบางประเภทจะมีสารก่อมะเร็งซ่อนอยู่ โดยเฉพาะอาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก เบคอน แหนม หมูยอ ลูกชิ้น กุนเชียง และเนื้อแดงที่ถูกประกอบอาหารในความร้อนสูงจนเกรียมแบบปิ้งย่าง 3.การสูบบุหรี่ พบว่า 12% ของผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ มีพฤติกรรมสูบบุหรี่ 4.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์ร่วมกับการสูบบุหรี่ จะเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งมากยิ่งขึ้น
ในระยะแรกของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ผู้ป่วยจะไม่มีอาการแสดงใดๆ แต่เมื่อการดำเนินของโรคผ่านไปและติ่งเนื้อมีขนาดใหญ่จนกลายเป็นมะเร็งแล้วผู้ป่วยจึงจะเริ่มมีอาการแสดงเกิดขึ้น เช่น การขับถ่ายมีเลือดหรือมูกเลือดปน ถ่ายอุจจาระก้อนเล็กลง ท้องผูกสลับท้องเสีย แน่นท้อง ท้องโต หรือคลำเจอก้อนในท้อง ดังนั้น หากได้รับการตรวจคัดกรองด้วยการส่องกล้องลำไส้ใหญ่และทวารหนักตั้งแต่อายุ 45-50 ปี เมื่อมีการตรวจพบโรคตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที หรือสามารถป้องกันมะเร็งได้ถ้าตรวจเจอตั้งแต่เป็นติ่งเนื้อก่อนที่จะเป็นมะเร็ง
อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่แล้ว การรักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค ระยะของโรค ตำแหน่งและขนาดของก้อนมะเร็ง อายุ สภาพร่างกายและโรคร่วมของผู้ป่วย โดยมี 4 วิธีหลักที่ใช้ในการรักษา ได้แก่ 1.การผ่าตัด เป็นการตัดเอาลำไส้ส่วนที่เป็นรอยโรค และต่อมน้ำเหลืองออก หรือในบางกรณีหากรอยโรคอยู่ที่ลำไส้ส่วนปลายที่ติดกับทวารหนัก อาจมีความจำเป็นต้องผ่าตัดทำทวารเทียม 2.การฉายรังสี เป็นการรักษาร่วมกับการผ่าตัด โดยฉายรังสีก่อนหรือหลังผ่าตัดก็ได้ ขึ้นอยู่กับข้อบ่งชี้และการพิจารณาของแพทย์ ใช้ในมะเร็งลำไส้ใหญ่ส่วนปลายและทวารหนัก 3.ยาเคมีบำบัด อาจให้ก่อนหรือหลังผ่าตัด ร่วมกับการฉายรังสีหรือไม่ก็ได้ ซึ่งแพทย์จะพิจารณาตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ไม่จำเป็นต้องให้ในผู้ป่วยระยะแรกเริ่ม 5.ยามุ่งเป้า (targeted therapy) ให้ร่วมกับยาเคมีบำบัด ชนิดของยาขึ้นอยู่กับการตรวจยีนจากชิ้นเนื้อ เพื่อวิเคราะห์การตอบสนองของยา (precision medicine)
นอกจากนี้ ด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์จึงมีวิธีการรักษาเพิ่มเติมที่ช่วยทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้นและมีอายุที่ยืนยาวเพิ่มมากขึ้น เช่น ยามุ่งเป้ายาภูมิคุ้มกันบำบัด หรือแม้แต่งานวิจัยล่าสุด อย่าง Cancer Vaccine และ Cancer Avatar ที่เปรียบเสมือนความหวังของผู้ป่วยมะเร็งระยะแพร่กระจาย โดยCancer Vaccine คือการจะนำโปรตีนเซลล์มะเร็งที่ได้จากก้อนมะเร็งของผู้ป่วยมาสกัดเป็นวัคซีนแบบจำเพาะบุคคลเพื่อช่วยกระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวรู้จักหน้าตาของเซลล์มะเร็งของผู้ป่วยและพร้อมทำลายเซลล์มะเร็ง นอกจากนี้ เมื่อใช้ร่วมกับยาภูมิคุ้มกันบำบัด ก็จะช่วยให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้ดี มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ส่วน Cancer Avatar คือกระบวนการทดสอบการตอบสนองต่อยาก่อนที่จะใช้ในผู้ป่วยจริง วิธีการคือตัดชิ้นเนื้อมะเร็งของผู้ป่วยมาเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการ เพื่อให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตและพัฒนาจนมีลักษณะคล้ายกับเซลล์มะเร็งที่อยู่ในร่างกาย ซึ่งเปรียบเสมือนว่าเซลล์มะเร็งนั้นเป็นตัวแทนมะเร็งของผู้ป่วยจริงๆ จากนั้นจึงนำมาทดสอบกับยารักษาแต่ละสูตรเพื่อดูการตอบสนองของเซลล์มะเร็ง ก่อนเริ่มใช้ยากับผู้ป่วยเพื่อเพิ่มความมั่นใจและความแม่นยำในแนวทางการรักษาขั้นต่อไปได้
ทั้งนี้ การป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่ดีที่สุด สามารถทำได้โดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่มาจากสภาพแวดล้อม ส่วนผู้ที่มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ควรเข้ารับการตรวจ
คัดกรองด้วยการส่องกล้องลำไส้ใหญ่และทวารหนัก เพื่อตรวจหาติ่งเนื้อหรือเนื้องอกที่อยู่ในลำไส้ใหญ่ที่อาจพัฒนากลายเป็นมะเร็งในอนาคตได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี