รายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ประจำวันที่ 28 ม.ค. 2568 ซึ่งเป็นช่วงโค้งสุดท้ายสู่ “การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)” ทั่วประเทศไทย ในวันที่ 1 ก.พ. 2568 (ยกเว้นจังหวัดที่เลือกไปแล้วก่อนหน้า) มีแขกรับเชิญคือ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โฟนอินผ่านระบบซูม มาร่วมพูดคุยในประเด็นดังกล่าว
อดีต กกต. สมชัย เริ่มต้นกับการให้นิยามการเลือกตั้งนายก อบจ. หนนี้ว่า “ฝุ่นตลบ” หลายเรื่องเกิดขึ้นโดยที่ กกต. ไม่ได้ตั้งรับอะไรเลยและปล่อยให้ดำเนินไปเรื่อยๆ ทั้งที่สุ่มเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมาย ไล่ตั้งแต่ 1.ผู้ช่วยหาเสียง ซึ่งเจตนารมณ์ของกฎหมายคือการใช้คนในท้องถิ่นมาช่วย เช่น แจกใบปลิว ถือป้าย และช่วยในการหาเสียงทั่วๆ ไป โดยได้รับค่าจ้างต่ำมาก คือเทียบเท่าค่าแรงขั้นต่ำของแต่ละจังหวัด โดยสรุปคือการกำหนดให้มีผู้ช่วยหาเสียงก็เหมือนกับการให้มีลูกมือ 10-20 คน
“แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าทุกคนทุกฝ่ายทุกพรรค ใช้เรื่องนี้เป็นช่องว่างของกฎหมายในการจะเอาคนจากส่วนกลางลงไปทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยหาเสียง แล้วก็บอกว่านี่เป็นผู้ช่วยหาเสียง แล้วก็กลายเป็นผู้ปราศรัยหลักก็เอาที่อาจจะพูดเก่ง เป็นนักโต้วาที นักปาฐกถา นักพูด มาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยหาเสียง เขาเรียกว่าเรียกแขก เวลาที่บนเวทีหาเสียงเขาใช้คนเหล่านี้เป็นคนพูดในการที่จะเรียกคน สร้างเสียงเฮฮาต่างๆ ในบรรยากาศของการเลือกตั้ง ของการหาเสียง หรือขณะนี้ การใช้คนซึ่งอาจจะเป็นเจ้าของพรรคตัวจริงทั้งหลายซึ่งถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง
ไม่ว่าจะเป็นทางฝ่ายพรรคเพื่อไทยหรือพรรคประชาชนก็ตาม ทางฝ่ายเพื่อไทยก็ใช้คุณทักษิณ (ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) คุณณัฐวุฒิ (ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำ นปช.) ทางฝ่ายพรรคประชาชนก็ใช้คุณธนาธร (ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่) คุณพิธา (พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล) คุณช่อ (พรรณิการ์ วานิช อดีตแกนนำพรรคอนาคตใหม่) อย่างนี้เป็นต้น ในการลงไปช่วยหาเสียงในแต่ละพื้นที่ มันก็เป็นอะไรที่เรียกว่าผิดไปจากเจตนาของกฎหมาย”
เมื่อถามว่าผู้ช่วยหาเสียงสามารถขึ้นปราศรัยบนเวทีได้หรือไม่? นายสมชัย ระบุว่า กฎหมายไม่ได้ห้าม แต่ก็ต้องดูความเหมาะสมด้วย เช่น มีการแอบให้ค่าจ้างสูงกว่าที่อ้างถึงค่าแรงขั้นต่ำ ให้เป็นหมื่นเป็นแสนบาทหรือไม่ ซึ่งก็อาจผิดกฎหมาย เพราะการเลือกตั้งจะมีการกำหนดกรอบจำนวนงบประมาณที่ใช้ในการหาเสียงอยู่ และต้องรายงานกับ กกต. หลังเสร็จสิ้นการเลือกตั้งไปแล้วด้วย
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า มีการนำบุคคลที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองมาช่วยหาเสียง สามารถทำได้หรือไม่ เพราะตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2563 ระบุว่าผู้ช่วยหาเสียง หมายถึง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ได้รับการว่าจ้างจากผู้สมัครให้เข้าร่วมกิจกรรม ในการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้ง ตลอดระยะเวลาหรือช่วงระยะเวลาหนึ่ง และเป็นบุคคลที่ได้แจ้งรายละเอียด หน้าที่และค่าตอบแทนต่อสำนักงาน กกต.ประจำจังหวัด ยกเว้นบุคคลในครอบครัว ได้แก่ สามี ภริยา หรือบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย
ประเด็นนี้ อดีต กกต. สมชัย กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นประเด็น ซึ่งเดิมคนก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นปัญหาหรือไม่ และหากผิดจริงจะเป็นปัญหาอย่างไร โดยต้องให้ กกต. วินิจฉัยก่อนว่าทำได้หรือไม่ ซึ่งหากทำไม่ได้ก็อาจจะเป็นปัญหากับผู้สมัครรับเลือกตั้งเพราะไม่ปฏิบัติตามระเบียบ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าผลจะไปไกลถึงไหนเพราะบทลงโทษไม่ชัดเจน เช่น อาจเป็นเพียงการบอกให้เปลี่ยนผู้ช่วยหาเสียงก็ได้ เป็นต้น
ในขณะที่ผู้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองแต่ไปทำหน้าที่ผู้ช่วยหาเสียง ก็ต้องดูว่าไปทำเพราะมาจากการว่าจ้างหรือไม่ หากใช่ในส่วนของเจ้าตัวอาจไม่จะผิด ยกเว้นกรณีไปพูดบนเวทีปราศรัยในเรื่องที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย เช่น ปราศรัยหลอกลวงให้เกิดความเข้าใจผิดซึ่งมีผลต่อคะแนนเสียงเลือกตั้ง แบบนี้ก็จะเข้าข่ายทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ซึ่งมีโทษทั้งทางอาญาและถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม แม้ กกต. จะตีความเรื่องคุณสมบัติของผู้ช่วยหาเสียงว่าผู้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองไม่สามารถทำหน้าที่นี้ได้ แต่คงไม่ถึงขั้นให้มีการจัดการเลือกตั้งใหม่ เว้นแต่เป็นกรณีที่ผู้ช่วยหาเสียงไปทำผิดกฎหมายในเรื่องหลักๆ ซึ่งหมายถึงเรื่องที่ กกต. จะให้ใบเหลืองหรือใบแดง อาทิ การซื้อเสียง การสัญญาว่าจะให้ทั้งต่อบุคคล ชุมชนหรือสถานที่ต่างๆ การจัดเลี้ยง การจัดมหรสพ การหลอกลวงหรือใส่ร้ายให้เข้าใจผิด
2.การขับเคี่ยวกันของขั้วการเมือง “แดง-ส้ม-น้ำเงิน” อันหมายถึงพรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย ประเด็นนี้ นายสมชัยมองว่า หน้าฉากคือการต่อสู้ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาชน แต่หลังฉากนั้นพรรคภูมิใจไทยอาจให้การสนับสนุนผู้สมัครบางกลุ่มในบางพื้นที่ 3.อิทธิพลของ “บ้านใหญ่” กับการเลือกตั้งท้องถิ่น ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นธรรมชาติอยู่แล้วไม่ว่าการเลือกตั้งระดับใด ที่บ้านใหญ่จะส่งคนของตนเองลงสนามเลือกตั้ง
“เพราะบ้านใหญ่เป็นคนซึ่งอาจเรียกว่ามีฐานะทางการเงิน มีอิทธิพลในพื้นที่ และบางครั้งกลายไปพัวพันกับการที่อาจประกอบกิจการบางอย่างซึ่งเทาๆ เพราะฉะนั้นการที่จะมีร่มเงาของฝ่ายการเมือง ของพรรคการเมือง ของตำแหน่งทางการเมืองมาช่วยสนับสนุน มันก็สามารถทำให้เขาสามารถประกอบกิจการต่างๆ ของเขาได้อย่างต่อเนื่องต่อไป มันเป็นความเชื่อมโยงว่าการเมืองก็จะไปหนุนเกี่ยวกับการทำมาหากินของเขา ให้เขาสามารถทำมาหากินได้คล่องแคล่วมากขึ้น
เพราะฉะนั้นโอกาสจังหวะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งระดับประเทศก็ดี เขาคงต้องพยายามรักษาพื้นที่ของเขา ในการที่จะให้มีคนของเขาเอง กลุ่มก้อนที่จะเข้าไปดำรงตำแหน่ง มีตำแหน่งทางการเมืองต่างๆ ในระดับประเทศ พอในระดับของท้องถิ่นก็เหมือนกัน เขาก็ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะทำให้ตัวเองมีอิทธิพล มีอำนาจในระดับของทางแต่ละพื้นที่ได้ ก็จะมีการ
ส่งคนลงไป”
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่บ้านใหญ่ต้องการลงเลือกตั้งสนามท้องถิ่น แต่พรรคการเมืองระดับชาติก็ประสงค์จะได้เครือข่ายในท้องถิ่นเป็นของตนเอง ก็จะเกิดการเชื่อมโยงกัน กล่าวคือ บ้านใหญ่วิ่งเข้าหาพรรคและพรรคก็วิ่งเข้าหาบ้านใหญ่เพื่อจับมือกันดำเนินการให้ชนะการเลือกตั้ง อย่าง
ที่เห็นว่าส่วนหนึ่งไปจับมือกับพรรคเพื่อไทย หรืออีกส่วนหนึ่งที่ไปจับมือกับพรรคภูมิใจไทย และแม้กระทั่งมีที่ไปจับมือกับพรรคประชาชน เพียงแต่ต้องดูว่าจับมือกับใครแล้วจะประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งได้มากกว่ากัน
ส่วนที่มองกันว่าการเลือกตั้งท้องถิ่นส่วนใหญ่แล้วบ้านใหญ่จะครองพื้นที่อยู่ทุกครั้งไป ก็ต้องบอกว่าเป็นธรรมชาติ เพราะบ้านใหญ่มีเครือข่ายการเมืองที่สร้างและสะสมกันมาเป็นสิบปี ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราว ต้องมีหัวคะแนนตั้งแต่ระดับอำเภอลงไปถึงระดับหมู่บ้าน เพียงแต่ในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง กลไกหัวคะแนนจะสามารถทำงานอย่างได้ผล หรือสู้กับกระแสของพรรคการเมืองระดับประเทศได้หรือไม่
นายสมชัย ยกตัวอย่างการเลือกตั้งระดับชาติ กรณีเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบแบ่งเขต หากเป็นในเขตเมือง เขตที่มีความเจริญสูง หรือเขตที่มีสถาบันการศึกษา กระแสของพรรคการเมืองระดับประเทศ การเสนอนโยบายต่างๆ การชูธงผู้นำระดับประเทศของพรรค จะมีผลต่อการตัดสินใจของประชาชน ทำให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่มาจากกระแสไม่ได้มาจากบ้านใหญ่สอดแทรกเข้ามาได้ แต่หากเป็นเขตรอบนอกหรือเขตชนบท เครือข่ายหรืออิทธิพลในพื้นที่จะเป็นปัจจัยที่มีผลมากกว่า
ในขณะที่การเลือกตั้งระดับท้องถิ่น หากเป็นท้องถิ่นขนาดเล็ก เช่น องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ก็ขึ้นอยู่กับว่าพื้นที่นั้นใครมีอิทธิพลมากกว่ากัน แต่หากเป็นเขตเมือง เช่น เทศบาลเมือง เทศบาลนคร กระแสก็อาจมีผลมากกว่าบ้านใหญ่ ส่วนพื้นที่รอบนอกกระแสก็จะไม่มีผล และหากเป็นการเลือกตั้ง อบจ. ซึ่งเป็นสมรภูมิที่ครอบคลุมทั้งจังหวัด ใหญ่กว่าการเลือกตั้งระดับเขตอย่างมาก เช่น บางจังหวัดอาจมีถึง 10 เขต หากแยกเขตกันผู้สมัครแต่ละคนของแต่ละพรรคก็อาจชนะได้
“แต่พอเป็นการเลือกตั้ง อบจ. มันต้องรวมทุกเขตทุกอำเภอเข้าด้วยกัน ดังนั้น มันก็จะเป็นการผสมผสานกันทั้งเมืองทั้งชนบท ทั้งเขตที่ก้าวหน้าและเขตที่เป็นชาวบ้านทั่วไป อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งอันนี้ก็ต้องมองว่าพื้นที่รอบนอกมันมีพื้นที่ที่มากกว่าพื้นที่ที่เป็นเมือง ชนบทมากกว่าเขตเมือง ดังนั้นความได้เปรียบของกระแสจะน้อยมากๆ แทบจะไม่มีความได้เปรียบใดๆ เลย”
4.ท่าทีของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เอาจริงมากกับการลงพื้นที่ช่วยหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ. ให้กับตัวแทนของพรรคเพื่อไทย ประเด็นนี้ อดีต กกต. สมชัย กล่าวว่า จริงๆ นายทักษิณลงไปเพียงบางพื้นที่ หรือก็คือเลือกลง และเป็นการ “เลือกลงพื้นที่แบบมีกลยุทธ์” โดยจะลงไปในพื้นที่ที่พรรคเพื่อไทยมีแนวโน้มชนะอย่างแน่นอน หรือเป็นพื้นที่ที่มีการแข่งขันแบบสูสีกัน เพื่อปลุกหรือสร้างกระแสเพิ่มเติมเข้าไป อีกทั้งยังเป็นการเสริมบารมีของตนเองด้วย โดยทำให้เห็นว่าเมื่ออดีตนายกฯ ทักษิณลงพื้นที่ไป ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยก็ได้รับชัยชนะ
นอกจากนั้น “การลงพื้นที่ของอดีตนายกฯ ทักษิณ ยังหวังผลถึงการเลือกตั้งระดับประเทศครั้งต่อไป” เห็นได้จากเมื่อนายทักษิณขึ้นเวทีปราศรัย จะเน้นไปที่นโยบายในภาพรวมของประเทศของพรรคการเมือง มีการบอกว่าในจังหวัดนั้นมี สส. กี่คน บอกว่าปันใจให้ใครไปบ้างและครั้งหน้าขอให้ประชาชนช่วยกันเลือกคืนมาทั้งจังหวัด ซึ่งนายทักษิณจะพูดประโยคแบบนี้ซ้ำๆ อยู่ตลอดเวลา
แต่หากถามว่า “จะมีผลจริงหรือไม่?..ก็ต้องบอกว่าไม่แน่ (หรือแม้แต่ไม่ใช่ด้วย)” เพราะการเลือกตั้ง อบจ. เป็นการเลือกตั้งในเขตจังหวัดที่คะแนนจะผสมกันระหว่างพื้นที่เมืองกับชนบท ต่างจากการเลือกตั้ง สส. แบบแบ่งเขต ที่คะแนนจะแยกกันไปในแต่ละเขต การจะบอกว่าผลเลือกตั้ง อบจ. จะทำให้ได้ สส. ครบทุกเขตในจังหวัดก็คงไม่ใช่ ที่สำคัญคือยังมีเวลาอีกประมาณ 2 ปี กว่าจะถึงการเลือกตั้งใหญ่ครั้งต่อไป ระหว่างนี้อะไรก็อาจเกิดขึ้นได้
5.คำแนะนำจากอดีต กกต. ฝากถึง กกต. ชุดปัจจุบัน นายสมชัยกล่าวว่า กกต. ต้องจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ดังนั้น กกต. ต้องสรุปบทเรียน มองให้เห็นว่าการเลือกตั้งท้องถิ่นหนนี้มีปัญหาอะไรบ้าง และจะต้องเป็นฝ่ายริเริ่มเสนอแก้ไขกฎหมาย หรือในส่วนของ กกต. เองก็จะเป็นการแก้ไขระเบียบ หรือกำกับการบริหารงานของตนเองให้เข้มข้นมากขึ้น
“หลายต่อหลายเรื่องผมคิดว่า กกต. ทำเฉยมากเกินไป แล้วก็ว่างเปล่าไม่มีไอเดียอะไรเลยทั้งสิ้นว่าจะแก้อย่างไร ยกตัวอย่างที่เราเห็น การลาออกก่อนกำหนดของพวกนายก อบจ. หลายต่อหลายจังหวัด เกิดขึ้นจากอะไร? เกิดจาก พ.ร.บ. เลือกตั้งท้องถิ่น ไปกำหนดคำว่าถ้าคุณอยู่จนครบวาระ คุณจะต้อง 180 วันก่อนครบวาระนี้ อะไรก็ตามที่เป็นค่าใช้จ่ายในการหาเสียง ต้องเอามาคำนวณรวมด้วย ติดป้ายกี่ป้ายก็แล้วแต่ต้องเอามาคิดรวมหมดเลย 180 วันก่อนวันเลือกตั้ง คุณขึ้นป้ายใหญ่ๆ คัดเอาท์ใหญ่ๆ โปสเตอร์เต็มไปหมด เต็มบ้านเต็มเมือง ต้องมาคิดคำนวณด้วย
แล้วก็จะมีการกำกับดูแลว่าในช่วง 180 วันก่อนครบวาระนั้น การใช้จ่ายงบประมาณเพื่อที่จะไปเป็นประโยชน์ในการหาเสียงจะกระทำไม่ได้ เช่น จะพาแม่บ้านไปทัศนศึกษา ไปดูงาน จากเชียงใหม่ไปภูเก็ต อะไรแบบนี้ไม่ได้ อันนั้นเป็นเรื่องที่กฎหมายเขียนไว้เพื่อป้องกันการใช้อำนาจในฐานะที่เป็นผู้บริหารท้องถิ่น ในการที่จะใช้งบประมาณเพื่อเป็นประโยชน์แก่ตัวเอง เขาก็ลาออกก่อนสิ พอลาออกก่อนกฎหมายดังกล่าวก็ไม่มีผลบังคับ”
อดีต กกต. สมชัย อธิบายว่า การลาออกก่อนครบวาระของนายก อบจ. สิ่งที่เกิดขึ้นคือ “ท้องถิ่นต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งถึง 2 เท่า” จากการเลือกตั้ง2 ครั้ง แบ่งเป็นการเลือกตั้งนายก อบจ. และการเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) เช่น จากเดิมที่ค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งตามปกติอยู่ที่ 50 ล้านบาทก็จะต้องเสียเพิ่มขึ้นเป็น 100 ล้านบาท กกต. ต้องเห็นปัญหาและต้องเสนอให้รัฐบาลแก้ไขกฎหมาย
หรือเรื่องผู้ช่วยหาเสียงที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันมาก เพราะจากเด็กถือป้ายกลับกลายเป็นบุคคลระดับซูเปอร์สตาร์ขึ้นเวทีปราศรัย บอกว่ารับค่าจ้าง 300 บาท รวมถึงการปราศรัยในลักษณะนำเสนอนโยบายภาพรวมของรัฐบาลมากกว่านโยบายของท้องถิ่น แบบนี้ถูกต้องหรือไม่ จะแก้ไขอย่างไร เพราะหากไม่คิดแก้ไข สมมุติตนสมัครรับเลือกตั้ง ก็อาจจ้างดารามาช่วยหาเสียง บอกว่าจ้าง 300 บาททำแบบนี้ได้หรือไม่ แล้วคนก็มากันเยอะทุกเวทีเพราะมาดูดารา ซึ่งก็คงไม่เหมาะสม
และ 6.การซื้อเสียง ซึ่งมีการพูดกันว่าหลายพื้นที่มีการใช้เงินจำนวนไม่น้อย ประเด็นนี้ นายสมชัยกล่าวว่า เดิมตนมีทฤษฎีว่า หากเป็นการเลือกตั้งในพื้นที่ใหญ่ๆ การซื้อเสียงจะไม่เกิดขึ้นเพราะคนมากใช้เงินซื้อไม่ไหว อย่างในช่วงที่สมาชิกวุฒิสภา (สว.) มาจากการเลือกตั้ง โดยกำหนดเขตเลือกตั้งตามเขตจังหวัด ก็มีการคำนวณว่า หากซื้อเสียงทั้งจังหวัดจะพบว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งแต่ละคนได้เงินเพียง 20 บาทเท่านั้น แต่หากเขตเลือกตั้งแคบจำนวนเงินที่ใช้ซื้อเสียงก็จะมาก เช่น การเลือกตั้งกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน จ่ายกันในหลักพันบาท เพราะผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีเพียงหลักร้อยคน
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนทฤษฎีของตนจะผิดเสียแล้ว เพราะมีคนพร้อมจะทุ่มเงินหลักหลายสิบล้านเพื่อซื้อเสียงในการเลือกตั้งระดับ อบจ. แต่ไม่ได้ซื้อทั่วทั้งจังหวัด โดยจะซื้อเฉพาะในพื้นที่ที่มองว่าเป็นจุดอ่อน เช่น จุดที่ผู้สมัครคิดว่าตนไม่มีคะแนน หรือซื้อเพื่อสกัดคู่แข่ง ดังนั้น กกต. ต้องมีหน่วยข่าวและร่วมมือกับประชาชนในการให้ช่วยกันแจ้งเบาะแส!!!
หมายเหตุ : สามารถรับชมรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ดำเนินรายการโดย บุญระดม จิตรดอน ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันอังคาร-พฤหัสบดี เวลา 11.00-12.00 น. โดยประมาณ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี