ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ชื่อของเหลียง เหวินเฟิง (Liang Wenfeng)กลายเป็นที่พูดถึงไปทั่ววงการเทคโนโลยีหลังจากที่บริษัทสตาร์ทอัพของเขาDeepSeek เปิดตัวโมเดล AI ตัวใหม่ที่ท้าชนยักษ์ใหญ่อย่าง OpenAI, Meta และ Google ด้วยต้นทุนเพียงเศษเสี้ยวของคู่แข่ง คือประมาณ6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 200ล้านบาท) ต่างจาก AI สัญชาติอเมริกันที่ต้องทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์ในการพัฒนาทำให้ DeepSeek ไม่ได้เป็นเพียงแค่สตาร์ทอัพหน้าใหม่ แต่ยังสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของจีนในเวที AI
DeepSeek พัฒนาขึ้นโดยบริษัทสตาร์ทอัพ ในหางโจว ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ผู้ก่อตั้งและมีบทบาทหลักในการพัฒนา คือ เหลียง เหวินเฟิง ชายหนุ่มวัย 40 ปี อดีตเด็กบ้านนอกในมณฑลกวางตุ้งแต่เฉลียวฉลาดหัวดี สามารถสอบเข้าศึกษาต่อที่ มหาวิทยาลัยเจ้อเจียงซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาด้านเทคโนโลยีชั้นนำของจีน สาขาที่เขาเลือกเรียนคือวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และสารสนเทศ
หลังจากจบการศึกษา เหลียง เข้าสู่วงการการเงินและก่อตั้ง High-Flyer Quant กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ใช้ AI และ Machine Learningในการบริหารจัดการพอร์ตการลงทุน ด้วยแนวคิดใหม่ๆ และการใช้ AI ในตลาดทุน High-Flyer Quant กลายเป็นหนึ่งในกองทุนที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดของจีน
ไม่เพียงแค่ด้านการเงิน High-Flyer Quant ยังสร้าง ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ขนาดเท่าคอร์ตบาสเกตบอล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการคำนวณ นี่เป็นหนึ่งในสัญญาณที่ชัดเจนว่าเหลียงไม่ได้ต้องการเป็นแค่เทรดเดอร์ที่ฉลาดที่สุด แต่เขากำลังวางรากฐานสำหรับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น
เหลียง เหวินเฟิง ใช้ความรู้จากการศึกษาวิศวกรรมสารสนเทศและอิเล็กทรอนิกส์ จากมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง และระดมทุนสร้างคลังชิพรุ่น Nvidia A100 ไว้ราว 50,000 ชิ้นแต่เมื่อปัจจุบัน ชิพรุ่นนี้ถูกห้ามส่งออกไปยังประเทศจีนแล้ว เพราะความขัดแย้งกับสหรัฐฯ เขาจึงใช้เคล็ดลับพิเศษด้วยการจับคู่ชิพ Nvidia ที่มีอยู่ 50,000 นั้นกับชิพที่ราคาถูกกว่าและพลังการประมวลผลน้อยกว่า แต่ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจยิ่ง
เหลียงตัดสินใจก่อตั้ง DeepSeek ในปี 2556 โดยมีเป้าหมายชัดเจนว่า จีนไม่ควรเป็นแค่ผู้ตามด้าน AI แต่ต้องเป็นผู้นำ DeepSeek ไม่เหมือนกับบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของจีน เช่น ByteDance หรือ Alibaba ที่ได้รับแรงหนุนจากรัฐบาลหรือเงินทุนมหาศาล เหลียงเริ่มต้นจากทีมเล็กๆ ที่มีนักวิจัยและวิศวกรเพียง 140 คนและเขายืนยันว่าจะรับแต่บุคลากรจากมหาวิทยาลัยในจีนเท่านั้น เขากล่าวไว้ว่า 50 อันดับแรกของอัจฉริยะด้าน AI อาจไม่ได้อยู่ในจีนแต่เราอาจสร้างพวกเขาขึ้นมาเองได้
DeepSeek R1 ซึ่งเป็นโมเดลAI ล่าสุดของบริษัท เปิดตัวเมื่อวันที่20 มกราคมที่ผ่านมา และกลายเป็นกระแสไปทั่วโลกในชั่วข้ามคืน เพราะสามารถแข่งขันกับ GPT-4 ของ OpenAI หรือ Gemini ของ Googleความสำเร็จของ DeepSeekสั่นสะเทือนวงการ AI ของสหรัฐฯ ทันที เพราะตกตะลึงที่จีนพัฒนา DeepSeek ได้ด้วยเงินทุนเพียงเศษเสี้ยวของสหรัฐฯ จนหลายฝ่ายสงสัยว่า แล้วสหรัฐฯ จะแข่งขันปัจจัยต้นทุนได้อย่างไร ทำไมจึงต้องสิ้นเปลืองเงินทุนและทรัพยากรขนาดนั้น และที่สำคัญ สหรัฐฯ จะสูญเสียความเป็นผู้นำด้านปัญญาประดิษฐ์ให้กับจีนแล้วหรือไม่
คำถามและความไม่แน่นอนเหล่านี้ ส่งผลทำให้เกิดสภาพตลาดทุนในวันที่ 27 มกราคม ดัชนี NASDAQ ซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของวอลล์สตรีท ร่วงลงมากกว่า 3% มีการเทขายหุ้นผู้ผลิตชิพและศูนย์ข้อมูลทั่วโลก ราคาหุ้นของNvidia บริษัทสัญชาติอเมริกันที่ผลิตชิพทรงพลังที่สามารถประมวลผล AI ได้ ร่วงลง 17% ภายในเวลาเพียงวันเดียว สูญเสียมูลค่าตลาดไปเกือบ 600,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 20 ล้านล้านบาท) เป็นการลดต่ำมากที่สุดในวันเดียวในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ จากที่เพิ่มขึ้นเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ที่วัดจากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด Nvidia ร่วงลงมาอยู่อันดับที่ 3รองจาก Apple และ Microsoft
ความสำเร็จของ DeepSeek ยังส่งแรงกระเพื่อมไปถึงระดับการเมืองของสหรัฐฯ มาร์ก อันเดรสเซนนักลงทุนด้านเทคโนโลยีชื่อดัง ถึงกับขนานนามว่านี่คือ SputnikMoment หรือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ปลุกให้สหรัฐฯ ตระหนักถึงการแข่งขันทางเทคโนโลยี เช่นเดียวกับช่วงที่อดีตสหภาพโซเวียต ส่งดาวเทียมสปุตนิค-1 (Sputnik -1) ขึ้นสู่วงโคจรโลกในปี 2500
ขณะที่ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ออกมาแสดงความเห็นว่า ความก้าวหน้าของ DeepSeek เป็น เสียงปลุกให้สหรัฐฯ ตื่นตัว ในการแข่งขันด้าน AI กับจีน
ปัจจุบัน AI ถือเป็นสมรภูมิสำคัญระหว่าง 2 ชาติมหาอำนาจโดยรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ดำเนินมาตรการจำกัดการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์และชิพประสิทธิภาพสูงไปยังจีนเพื่อชะลอการพัฒนา AI ของประเทศคู่แข่ง อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางรายชี้ว่า ข้อมูลเกี่ยวกับต้นทุนการพัฒนาของ DeepSeek อาจต้องได้รับการตรวจสอบเพิ่มเติม ขณะเดียวกัน ยังต้องจับตามองว่า AI ของ DeepSeek ซึ่งดำเนินงานภายใต้กฎเกณฑ์ด้านการควบคุมข้อมูลของรัฐบาลจีน จะสามารถแข่งขันในระดับสากลได้หรือไม่
นักวิเคราะห์บางคนมองว่า ความสำเร็จของ DeepSeek อาจถูกจำกัดโดยนโยบายของรัฐบาลจีน เนื่องจากโมเดล AI ของบริษัทต้องดำเนินงานภายใต้การควบคุมข้อมูลที่เข้มงวด ซึ่งหมายความว่าอาจมีข้อจำกัดในการใช้งานเมื่อเทียบกับ OpenAI หรือ Meta ที่มีเสรีภาพในการพัฒนาโมเดลมากกว่า
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แน่นอนคือ DeepSeek และ เหลียงเหวินเฟิง ได้เปลี่ยนบทสนทนาเกี่ยวกับ AI ในระดับโลกไปแล้ว ไม่ว่าอนาคตของ DeepSeek จะเป็นอย่างไรก็ตาม
โดย ดาโน โทนาลี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี