นพ.ตนุพล วิรุฬหการุญ หรือ คุณหมอแอมป์
บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก (BDMS Wellness Clinic) ศูนย์สุขภาพเชิงป้องกันของประเทศไทย นำโดย นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร BDMS Wellness Clinic และ BDMS Wellness Resortบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) สานต่อความมุ่งมั่นในการสร้าง “แลนด์มาร์ค Wellness Hub Thailand” ศูนย์กลางการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันแบบองค์รวม ชวนทุกคนผนึกกำลังเป็น #TeamThailandชู 5 จุดเด่นประเทศไทย ประกอบด้วยความงดงามของธรรมชาติ เสน่ห์ของอาหารไทยและสมุนไพรไทย การบริการที่เปี่ยมไปด้วยเอกลักษณ์ การแพทย์แผนไทย และการเป็นศูนย์กลางสุขภาพที่ผู้คนทั่วโลกยอมรับ พร้อมยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางด้านสุขภาพระดับโลก สอดรับเทรนด์ธุรกิจสุขภาพ ที่โตเฉลี่ยกว่า 7.3% ทั่วโลกทุกปี
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในยุคปัจจุบัน เทรนด์การดูแลสุขภาพ หรือ เวลเนส (Wellness) ได้กำลังเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด จนกลายมาเป็นเทรนด์ที่ผู้คนทั่วโลกให้ความสนใจ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่หันมาให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย การเลือกทานอาหารเพื่อสุขภาพ และการให้ความสำคัญกับการรักษาสมดุลในชีวิตประจำวัน (Work-life balance) ในขณะเดียวกัน การดูแลสุขภาพเชิงป้องกันก็ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน
นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ หรือ คุณหมอแอมป์ กล่าวว่า ความก้าวหน้าทางการแพทย์ ช่วยยืดอายุขัยของมนุษย์ (Lifespan) ให้ยืนยาวขึ้นกว่าในอดีต โดยในช่วงระยะเวลา 10 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543-2562 อายุขัยเฉลี่ยของประชากรโลกเพิ่มขึ้นจาก 66.8 ปี เป็น 73.4 ปี หรือเพิ่มขึ้นมากถึง 6.6 ปี แต่ในขณะเดียวกัน อายุขัยสุขภาพ (Health Span) หรือระยะเวลาที่ร่างกายและจิตใจยังคงสมบูรณ์แข็งแรงกลับเฉลี่ยอยู่ที่ 63.7 ปีเท่านั้น กล่าวคือ มนุษย์ส่วนใหญ่จะต้องเผชิญกับอาการเจ็บป่วยหรือความเสื่อมของร่างกายเกือบ 10 ปีก่อนที่จะเสียชีวิต
อายุขัยที่เพิ่มขึ้นของมนุษย์ ส่งผลให้โลกกำลังเผชิญหน้ากับการเติบโตของสังคมผู้สูงอายุ รวมถึงประเทศไทยที่ก้าวเข้าสู่ช่วงสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์(Aged Society) ซึ่งเป็นสภาวะที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่า 20% จึงทำให้คนรุ่นใหม่หันมาตระหนักเรื่องการดูแลสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะด้านการป้องกันก่อนเกิดโรค เพื่อให้ชีวิตยืนยาวอย่างมีคุณภาพ หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนทั่วโลก รวมถึงประชากรชาวไทยหันมาใส่ใจสุขภาพ คืออัตราการเกิดโรค Non-Communicable Disease (NCDs) หรือโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก โดยในปี พ.ศ.2565 ตัวเลขของผู้ป่วยที่เสียชีวิตด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในประเทศไทยมีจำนวนสูงถึง 380,400 คนต่อปี เฉลี่ยชั่วโมงละ 44 คน หรือคิดเป็น 77% ของประชากรไทยทั้งหมด
“โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือโรค NCDs อย่างโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคเส้นเลือดสมองตีบ/แตก โรคมะเร็ง และโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆ ไม่เพียงแค่สร้างความทุกข์ทรมาน ทั้งทางกายและทางใจจากอาการเจ็บป่วยให้กับผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังเพิ่มอัตราเสี่ยงในการเสียชีวิตเมื่อเกิดเหตุการณ์โรคระบาดอีกด้วย เช่น การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่แสดงถึงผลกระทบที่เกิดจากโรค NCDs อย่างชัดเจน โดยผู้ป่วยที่มีโรคความดันโลหิตสูงมีความเสี่ยงในการเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิตมากกว่าคนที่มีสุขภาพดีถึง 2 เท่าผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคเบาหวานมีความเสี่ยงสูงถึง 3 เท่า ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) เสี่ยงมากถึง 4 เท่า และผู้ป่วยโรคอ้วนที่มีความเสี่ยงมากที่สุด โดยมีความเสี่ยงเสียชีวิตมากถึง 7 เท่า
ปัญหาโรคอ้วน จึงไม่ใช่แค่เรื่องของภาพลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณของความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว ปัจจุบันประชากรชาวไทยกำลังเผชิญกับปัญหาโรคอ้วนและน้ำหนักเกินสูงถึง 48.3% การหันมาดูแลสุขภาพและควบคุมโรคอ้วนจึงกลายเป็นเรื่องที่ผู้คนควรหันมาให้ความสำคัญมากขึ้น เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต”
คุณหมอแอมป์ กล่าวอีกว่า เมื่อเทคโนโลยีมีความก้าวหน้ามากขึ้น ผู้คนก็มีตัวเลือกในการดำเนินชีวิตมากขึ้นเช่นเดียวกัน เฉกเช่นเดียวกันกับความต้องการด้านการแพทย์ในปัจจุบัน ที่ก้าวเข้าสู่ยุคสมัยของการเปลี่ยนผ่านจากการรักษาโรค (Reactive Healthcare) มาสู่การป้องกันก่อนเกิดโรค และเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง (Proactive Healthcare) หรือเรียกได้ว่าเปลี่ยนจากการรักษาคนป่วยให้หายดี สู่การรักษาคนแข็งแรงดีให้ไม่ป่วย ซึ่งเป็นการนำเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยและมีการวิจัยรองรับ หรือที่เรียกว่า Scientific Wellness มายกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนให้สุขภาพดีขึ้น ความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์นำไปสู่การเติบโตของการแพทย์เวชศาสตร์ป้องกัน (Preventive Medicine)และการดูแลสุขภาพตามหลักเวชศาสตร์วิถีชีวิต (Lifestyle Medicine) เพื่อเป้าหมายของการมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีไม่เพียงแค่ช่วยส่งเสริมการแพทย์เวชศาสตร์ป้องกันให้เกิดขึ้นจริงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงช่วย “ออกแบบ” การดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคลหรือที่เราเรียกว่า“การแพทย์เฉพาะบุคคล (Personalized Medicine)” โดยนำผลจากการตรวจเลือดหรือการตรวจหาภาวะความผิดปกติในระดับเซลล์และระดับพันธุกรรม การขาดวิตามิน และแร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ และความสมดุลของฮอร์โมนของแต่ละบุคคลมาประเมินความเสี่ยงและทำนายการเกิดโรค เพื่อวางแผนปรับไลฟ์สไตล์ให้เข้ากับผู้รับบริการแต่ละบุคคลให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด
นอกจากนี้ การแพทย์เฉพาะบุคคล ยังถือเป็นภาคส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เนื่องจากข้อมูลสุขภาพที่ได้จากการตรวจสุขภาพในระดับเซลล์ จะเป็นเหมือนเครื่องมือชี้วัดสุขภาพให้คนกลับมาประเมินซ้ำ เพื่อเป้าหมายการมีสุขภาพที่แข็งแรงอย่างยั่งยืน ดังนั้น ความก้าวหน้าในด้านการแพทย์เฉพาะบุคคล จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยต่อยอดธุรกิจการท่องเที่ยวสุขภาพของแต่ละประเทศให้เติบโตขึ้น โดยเฉพาะในประเทศไทยที่ไม่เพียงติดท็อป 15 ของโลกในด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเพียงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเติบโตของธุรกิจสปา ที่ถูกจัดอันดับขนาดธุรกิจอยู่ในที่ 16 ของโลก ธุรกิจการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกที่โตเป็นอันดับที่ 18 ของโลก ธุรกิจอาหารสุขภาพและการลดน้ำหนักที่ถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 22 ของโลกและธุรกิจอื่นๆ อีกมากมาย ที่ถูกออกแบบมาเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ให้กับผู้คนทั่วโลก
อีกทั้ง การเติบโตของธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและความโดดเด่นขององค์ประกอบต่างๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทย ได้สร้างโอกาสสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวสู่การเป็น Wellness Destination of the World โดย BDMS Wellness Clinic ได้มองเห็นศักยภาพนี้และมุ่งมั่นผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายปลายทางด้านสุขภาพที่ยั่งยืนและมีคุณภาพ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายIgnite Thailand ของรัฐบาลในการผลักดันประเทศให้เป็นศูนย์กลางทางด้านสุขภาพระดับสากล
“BDMS Wellness Clinic มุ่งมั่นที่จะเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญในการช่วยผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น Wellness Destination of the World โดยเราได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ทั้งในด้านธรรมชาติ วัฒนธรรม อาหาร สมุนไพร การบริการอันเปี่ยมไปด้วยความเป็นไทย และการแพทย์แผนไทย ผสมผสานกับเทคโนโลยีการแพทย์ที่ทันสมัย ที่ช่วยส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นหนึ่งในประเทศที่พร้อมนำเสนอบริการสุขภาพแบบองค์รวมให้กับผู้คนทั่วโลก โดยเราตั้งเป้าว่าประเทศไทยจะติด Top 5 ของโลก เป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทางที่ผู้คนทั่วโลกต้องการที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม การจะผลักดันให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพได้นั้น เราต้องทำงานร่วมกันเป็น #TeamThailand โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน นักวิชาการ ชุมชนรวมถึงประชาชนในประเทศ ในการร่วมสร้างประเทศให้น่าดึงดูดให้คนทั่วโลกเดินทางมาท่องเที่ยวที่ประเทศของเรา เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการเป็น Wellness Hub ของโลกในที่สุด”นายแพทย์ตนุพล กล่าวในที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี