คนไทยที่ศึกษาประวัติศาสตร์ไทยในยุคตั้งแต่ปลายกรุงศรีอยุธยา จนกระทั่งถึงยุคกรุงรัตนโกสินทร์สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว น่าจะต้องรู้ดีว่าเกาะปีนังหรือเกาะหมาก เคยเป็นดินแดนของสยามมาก่อน จนกระทั่งมาถึงยุคล่าอาณานิคมโดยอังกฤษ ดินแดนหลายแห่งที่เคยเป็นของไทย โดยเฉพาะในเขตตอนใต้
ของไทย ก็ได้ตกไปเป็นของอังกฤษ และสุดท้ายได้กลายเป็นของมาเลเซีย
หนึ่งในดินแดนที่เคยเป็นของไทยในอดีตคือเกาะหมาก แต่ปัจจุบันมีชื่อเรียกว่าเกาะปีนัง ก็คือหนึ่งในพื้นที่ประวัติศาสตร์ที่เคยเป็นดินแดนของอาณาจักรสยามมาก่อน
ปีนังในวันนี้มีความเจริญมากกว่าเมื่อ 100 กว่าปีก่อนอย่างเห็นได้ชัด แต่ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษากลิ่นอาย และรูปลักษณ์ของอดีตไว้ได้อย่างน่าสนใจ เพราะฉะนั้น
ใครก็ตามที่ได้ไปเยือนเกาะปีนัง ก็จะได้พบเห็นตึกรามบ้านช่องใหญ่โต รวมทั้งเห็นถึงการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ไปพร้อมๆ กับการได้เห็นบ้านเรือนในยุคไล่ล่าอาณานิคม
หลายคนอาจจะเคยทราบว่า อภัสรา หงสกุล สาวไทยคนแรกที่ได้ครองมงกุฎนางงามจักรวาล เมื่อยุคทศวรรษ 1960 ได้เคยไปศึกษาระดับชั้นมัธยมที่เกาะปีนัง และคงได้ทราบเช่นกันว่าลูกหลานของเจ้าสัวใหญ่ที่เป็นนักธุรกิจรายสำคัญจำนวนหนึ่งของไทย ก็เคยไปศึกษาที่เกาะปีนัง
นั่นแสดงว่าคุณภาพการศึกษาของปีนังได้มาตรฐานสากล ซึ่งก็เป็นเพราะว่าได้มีการวางรากฐานการศึกษาไว้โดยอังกฤษ ซึ่งเป็นประเทศเจ้าอาณานิคม
นอกเหนือจากเรื่องระบบการศึกษาแล้ว สิ่งสำคัญที่เราได้พบเห็นเมื่อเราได้เข้าไปอยู่บนเกาะปีนังก็คือมีพื้นที่สีเขียวเป็นจำนวนมาก มีต้นไม้ใหญ่ ขอย้ำว่าเป็นต้นไม้ใหญ่แบบใหญ่มหึมา อยู่บนถนนในตัวเมืองของเกาะปีนัง ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากมากที่สุดในกรุงเทพมหานคร และในเกือบทุกจังหวัดของประเทศไทย
เพราะฉะนั้น เมื่อนักท่องเที่ยวได้มีโอกาสไปเยือนเกาะปีนัง สิ่งแรกที่เขาประทับใจก็คือความเขียวขจีของแมกไม้ และอีกสิ่งหนึ่งที่สร้างความประทับใจได้มากพอสมควรก็คือบ้านเรือนเก่าในสไตล์ชิโนโปรตุกีส ซึ่งเรื่องของบ้านเรือนเก่านั้นก็ดูไม่แตกต่างไปจากบ้านเรือนในตัวเมืองเก่าของเกาะภูเก็ต
แต่อีกสิ่งที่น่าสนใจก็คือความเจริญและความก้าวหน้าของเกาะปีนัง ซึ่งเป็นความเจริญที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจบริหารพื้นที่โดยผู้บริหารของเกาะแห่งนี้ เพราะฉะนั้นเราจึงเห็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับไฮเทคเทคโนโลยีมีอยู่มากมายบนเกาะแห่งนี้ จนได้ชื่อว่าเป็นซิลิคอนวาเล่ย์ของโลกตะวันออก
สำหรับทริปนี้ Mr.Flower เดินทางเข้าปีนังโดยออกจากด่านสะเดา จังหวัดสงขลา สาเหตุที่เลือกเดินทางโดยเส้นทางนี้ก็เพราะอยากกลับไปดูว่าด่านสะเดาในยุคปัจจุบัน มีความแตกต่างมากน้อยจากยุค 10 กว่าปีที่แล้วเพียงใด ก็ได้พบว่าด่านสะเดาในยุคนี้ดูไม่ค่อยคึกคักมากเหมือนยุค 10 กว่าปีที่แล้ว ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าปัจจุบันสินค้าที่คนไทยเคยเรียกว่าสินค้าหนีภาษีจากจีน ได้กระจายไปอยู่ในที่ต่างๆ มากมาย และหาซื้อได้ง่าย แล้วก็ไม่ได้เรียกว่าสินค้าหนีภาษีอีกต่อไป เพราะสินค้าจีนมีราคาถูกเมื่อเทียบกับสินค้าไทย ส่วนคุณภาพนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องพิจารณาในรายละเอียด
ด่านสะเดาเป็นด่านหนึ่งที่ชาวมาเลเซียนิยมเดินทางเข้ามาเที่ยว โดยบางคนมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่หาดใหญ่ แต่ก็มีบางคนซึ่งอาจจะมีเวลาไม่มากนัก และอาจมีทุนทรัพย์น้อยกว่า ก็จึงเลือกเที่ยวอยู่บริเวณพรมแดนไทย-มาเลเซีย แถวๆ ด่านสะเดา
สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดในปัจจุบันคือมีโรงแรมขนาดกลางเกิดขึ้นมากมายตามบริเวณใกล้กับด่านสะเดา ส่วนร้านค้าของชาวบ้านที่สมัยก่อนเคยเป็นร้านขายของหนีภาษี ปรากฏว่ามีน้อยลง แต่มีร้านขายสินค้าอื่นๆ อาทิ อาหารของใช้เบ็ดเตล็ด ร้านเสื้อผ้า ร้านเสริมสวย เปิดมากมายกว่าเดิม ส่วนวิถีชีวิตของผู้คนแถวๆ ด่านสะเดาก็เปลี่ยนไปจากเดิมมากพอสมควร โดยพบเห็นผู้ประกอบการร้านค้าย่อยๆ มากขึ้น ส่วนภาพลักษณ์เดิมๆ ที่เคยปรากฏ โดยเฉพาะในเรื่องแหล่งค้าประเวณี ก็ยังมีให้เห็นอยู่ โดยสังเกตเห็นได้จากผู้คนที่น่าจะยังเกี่ยวข้องกับเรื่องการค้าประเวณี
อย่างไรก็ตาม Mr.Flower อยากจะชวนคุณไปเที่ยวเกาะปีนังด้วยกันโดยใช้เส้นทางจากด่านสะเดา โดยนอนที่บริเวณใกล้กับด่านสะเดาหนึ่งคืน แล้วไปนอนที่เกาะปีนังสองคืน หากคุณสนใจจะร่วมทริปไปด้วยกัน โปรดติดต่อที่หมายเลข 091-7233615
รับสมาชิก 14 ถึง 16 คนเท่านั้น และคาดว่าจะเดินทางในช่วงหลังสงกรานต์ปีนี้ครับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี