“และนโยบายเร่งด่วนสุดท้าย คือการแก้ปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 เพื่อให้คนไทยได้มีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น โดยยึดรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและไม่แก้ไขในหมวดพระมหากษัตริย์ โดยรัฐบาลจะหารือแนวทางในการทำประชามติที่ให้ความสำคัญกับการทำให้ประชาชนทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมออกแบบกฎ กติกาที่เป็นประชาธิปไตยทันสมัยและเป็นที่ยอมรับร่วมกัน รวมถึงการหารือแนวทางการจัดทำรัฐธรรมนูญในรัฐสภาเพื่อให้ประเทศสามารถเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง” เศรษฐา ทวีสิน (แถลงนโยบายต่อรัฐสภา วันที่ 11 ก.ย. 2566)
“รัฐบาลจะเร่งจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นโดยเร็วที่สุด โดยยึดโยงกับประชาชนและหลักการของประชาธิปไตยสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนสากล เคารพพหุวัฒนธรรม เพื่อเป็นบันไดสู่การพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศไทยให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน โดยมีเสถียรภาพทางการเมืองเป็นปัจจัยเร่งที่สำคัญ รวมถึงการสร้างสันติภาพและสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ประชาชน
มีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน” แพทองธาร ชินวัตร (แถลงนโยบายต่อรัฐสภา วันที่12 ก.ย. 2567)
เป็นเวลาเกือบ 2 ปีแล้วสำหรับรัฐบาลที่มี “พรรคเพื่อไทย” เป็นแกนนำ มีนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 2 คนจาก เศรษฐา ทวีสิน ถึง แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งจะเห็นว่า “การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” ถูกบรรจุเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่จะต้องเร่งดำเนินการ แต่ในความเป็นจริงน่าจะเป็นไปไม่ได้แล้วที่ทุกอย่างจะแล้วเสร็จก่อนครบวาระ 4 ปี ของรัฐบาลและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.)ชุดที่มาจากการเลือกตั้งในปี 2566 และจะหมดวาระในปี 2570
นั่นเพราะแม้แต่ “ก้าวแรก” อย่าง “การทำประชามติ” ก็ยังไม่สามารถดำเนินการได้จากข้อถกเถียงว่าตกลงแล้วต้องทำประชามติ 2 หรือ3 ครั้ง อีกทั้งร่างกฎหมายประชามติก็ยังมีความเห็นต่างระหว่าง สส. กับสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่ฝ่าย สว. ต้องการให้เป็น “เสียงข้างมาก 2 ชั้น” ต้องมีคนมาลงประชามติกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์ออกเสียง และต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้ที่มาออกเสียง สวนทางความเห็นของ สส. ที่ต้องการ “เสียงข้างมากชั้นเดียว” ซึ่งไม่ต้องสนใจว่าผู้มาลงประชามติมีจำนวนเท่าใด เพียงได้คะแนนเกินกึ่งหนึ่งของผู้ที่มาออกเสียงในครั้งนั้นก็เป็นอันใช้ได้
รายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในตอนที่เผยแพร่วันที่ 19 ก.พ. 2568 ตัวแทนจากอดีตพรรคร่วมรัฐบาลที่ปัจจุบันกลายไปเป็นฝ่ายค้านไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงความเคลื่อนไหวล่าสุด โดยพรรคเพื่อไทยตัดสินใจส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเรื่องการทำประชามติ ว่า เป็นการซื้อเวลาของพรรคเพื่อไทย และเพื่อให้สามารถตอบมวลชนที่เคยไปหาเสียงไว้ว่าพรรคยังคงเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ แต่ต้องดำเนินการให้รอบคอบ
เพราะเชื่อว่าหากเร่งนำเข้าพิจารณาในที่ประชุมร่วมของรัฐสภาก็เป็นไปได้สูงที่จะถูกตีตกตั้งแต่วาระ 1 ดังนั้นจึงใช้เทคนิคด้วยการไปถามศาลรัฐธรรมนูญ แต่ที่มองว่าเป็นการซื้อเวลาเนื่องจากก่อนหน้านี้ก็เคยมีการถามและศาลรัฐธรรมนูญก็ให้คำตอบมาแล้ว โดยการยื่นครั้งแรกตนเป็นคนดำเนินการเองเนื่องจากเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ที่ใช้อยู่ให้อำนาจรัฐสภาแก้ไขเพียงรายมาตราเท่านั้น ไม่ได้ให้อำนาจยกเลิกทั้งฉบับ
“ศาลก็ตอบว่ารัฐสภามีอำนาจ แต่ก่อนที่จะดำเนินการก็จะต้องไปถามประชาชน ไปทำประชามติเสียก่อนซึ่งคำนี้ก็มาถกเถียงกัน ผมก็บอกตีความแล้วก็คือไม่มีอำนาจ คือถ้าศาลวินิจฉัยว่ามีอำนาจก็ไม่ต้องแต่อะไรทั้งนั้น มีอำนาจคุณก็ไปทำเลย แต่ศาลบอกว่ามีอำนาจแต่คุณต้องไปทำประชามติเสียก่อน ก็แสดงว่าไม่มีอำนาจ เว้นแต่คุณไปทำประชามติแล้วคุณถึงค่อยมีอำนาจ
มันก็ชัดเจนตั้งแต่ปี 2564 จนเป็นที่มาที่ทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับนั้นตกไป ต่อมาก็มาสมัยนี้อีกปีที่แล้ว พรรคเพื่อไทยก็มีการยื่นญัตตินี้เหมือนกัน ศาลก็วินิจฉัยเหมือนกันว่าเป็นเรื่องที่วินิจฉัยไปแล้ว ก็ให้ไปดูคำวินิจฉัยที่ผมเป็นคนยื่นไป ก็วินิจฉัยชัดเจนแล้ว พอมาคราวนี้ยังจะยื่นอีก ขนาดพรรคประชาชนยังบอกเองว่ายื่นไปทำไม เสียเวลา”
❛ความคืบหน้ากฎหมายประชามติ : ย้อนไปในวันที่ 18 ธ.ค. 2568 ซึ่งมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณา (ร่าง) พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่..) พ.ศ….. หลังจากที่ก่อนหน้านั้น ในวันที่ 4 ธ.ค. 2567 ที่ประชุมกรรมาธิการร่วมกันเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติ ซึ่งมีตัวแทนทั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ได้ข้อสรุปให้ใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้น ทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ
กล่าวคือ ต้องมีผู้มาใช้สิทธิออกเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนผู้มีสิทธิ์ออกเสียง และมีคะแนนเสียงเห็นชอบไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ์ออกเสียง ซึ่งเป็นข้อเสนอของฝั่ง สว. อย่างไรก็ตาม มติที่ประชุม สส. ในวันที่ 18 ธ.ค. 2567 ส่วนใหญ่ 326 เสียง ไม่เห็นด้วยกับข้อสรุปของร่างที่กรรมาธิการพิจารณา ขณะที่ 61 เสียง เห็นด้วย ทำให้ร่างกฎหมายประชามติต้องถูกพักการพิจารณาไว้ก่อนเป็นเวลา 180 วัน ตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 มาตรา 137 (3) จึงจะนำกลับมาพิจารณาใหม่ได้
สำหรับตัวอย่างการทำประชามติ อ้างอิงข้อมูลผู้มีสิทธิเลือกตั้ง สส. เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566 มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 52,195,920 คน หากยึดตามหลักเกณฑ์เสียงข้างมาก 2 ชั้น จะให้ประชามติเรื่องใดผ่านต้องมีผู้ออกไปลงประชามติไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งดังกล่าว ในที่นี้คือไม่น้อยกว่า 26,097,960 คน และจะต้องได้เสียงเห็นชอบในหัวข้อประชามตินั้นไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของผู้ที่ออกไปลงประชามติ ในที่นี้คือไม่น้อยกว่า 13,048,980 คน แต่หากยึดหลักเกณฑ์เสียงข้างมากชั้นเดียวก็ไม่ต้องดูจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
ดังนั้น ตนจึงมองว่า การยื่นศาลรัฐธรรมนูญอีกครั้งจึงเป็นเพียงการซื้อเวลา เพราะตามระเบียบวิธีพิจารณา เมื่อเห็นเป็นเรื่องเดิมศาลก็ต้องสั่ง
ยกคำร้องเพราะได้วินิจฉัยไปแล้ว ส่วนที่บอกว่าการยื่นครั้งก่อนประธานสภายังไม่ได้บรรจุ ตนมองว่าไม่แตกต่างกัน จึงเป็นเพียงความพยายามยืดเวลาไปโดยหวังว่าจะแก้กฎหมายประชามติให้ใช้เสียงข้างมากชั้นเดียวได้ ซึ่งก็น่าจะใช้เวลาตั้งแต่ 8 เดือน ไปจนถึงมากกว่า 1 ปีนั่นเพราะมีข้อกังวลว่าหากทำประชามติ ณ เวลานี้ ที่กฎหมายให้ใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้น อาจมีประชาชนมาลงประชามติไม่ถึงกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์ออกเสียง
โดยสรุปแล้ว การแก้ไขรัฐธรรมนูญในลักษณะจัดทำใหม่ทั้งฉบับเป็นเรื่องยากมากเมื่อเทียบกับการแก้ไขเป็นรายมาตรา แต่การแก้ไขทั้งฉบับจะทำให้สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขเรื่องใดๆ ก็ได้ เช่น การยุบเลิกหรือเปลี่ยนแปลงบทบาทขององค์กรอิสระ โดยยกให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) แต่ตนเชื่อว่ารัฐบาลจะไปก่อนรัฐธรรมนูญ ทั้งจากตัวนายกฯเอง เสถียรภาพในรัฐบาล ปัญหาเศรษฐกิจและอื่นๆ ที่รุมเร้า โดยการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลจะชี้ให้เห็นว่ามีปัญหาอะไรตรงไหนบ้าง รัฐบาลชุดนี้จึงไม่น่าจะอยู่ได้ยาว
สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ในการประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้าน พรรคพลังประชารัฐได้แจ้งแล้วว่าขออภิปราย
นายกฯ แพทองธาร เพียงคนเดียว แต่ยื่นอภิปรายใน 3 ประเด็น ประกอบด้วย 1.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ - กาสิโน 2.ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ 3.MOU44 หรือบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐไทยกับรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน ที่ทั้ง 2 ประเทศจัดทำขึ้นในปี 2544 สมัยที่นายทักษิณเป็นนายกฯ
ส่วนที่พรรคประชาชน ในฐานะแกนนำฝ่ายค้าน เปิดเผยว่าเตรียมยื่นอภิปรายรัฐมนตรีไว้ 10 คน ตนมองว่าเนื่องจากพรรคประชาชนมี สส. จำนวนมาก จึงได้เวลาอภิปรายมาก และมีผู้ประสงค์อภิปรายเยอะ จึงต้องมีการกระจายประเด็นออกไป แต่ก็ไม่ใช่ว่ารัฐมนตรีนั้นจะไม่เกี่ยวกับนายกฯ จะรัฐมนตรีคนไหนก็โยงเข้ากับนายกฯ ได้ทั้งนั้นเพราะนายกฯ เป็นผู้กำกับดูแล การยื่น 10 คนก็เป็นสิทธิ์ของพรรคประชาชนที่จะยื่น
ส่วนกระแสข่าวที่ว่ามีความพยายามเจรจาไม่ให้พรรคประชาชนอภิปรายเฉพาะนายกฯ แพทองธาร คนเดียว แต่ให้ขยายไปถึงรัฐมนตรีในสังกัดพรรคภูมิใจไทยและพรรครวมไทยสร้างชาติตนไม่ได้ยินเรื่องดังกล่าวและยังเชื่อในพรรคประชาชนหลังจากที่ได้ประชุมกันซึ่งแม้พรรคพลังประชารัฐจะเสนอให้อภิปรายนายกฯคนเดียว เพราะอภิปรายรัฐมนตรีคนใดก็พาดพิงไปถึงนายกฯทั้งนั้น แต่สมาชิกพรรคประชาชนก็เห็นว่ามีรัฐมนตรีหลายคนที่ต้องถูกอภิปราย ก็เข้าใจได้ว่าถือเป็นเอกสิทธิ์
“ดังนั้นการที่ไม่อภิปรายนายกฯ คนเดียว ไม่ได้เป็นการส่งสัญญาณในเรื่องอื่น เป็นการส่งสัญญาณคือเขามีเรื่องจะต้องอภิปราย มีผู้จะอภิปรายเป็นจำนวนมาก แล้วเขาก็ต้องการที่จะสร้างผลงานในการอภิปราย ก็อาจจะเห็นรัฐมนตรีไหนที่มีปัญหาที่เขาได้ข้อมูลมา เขาก็อยากจะอภิปราย มันก็เป็นสิทธิ์ของพรรคประชาชน เขาก็บอกประมาณนั้น แต่แม้ไม่บอกผมก็เข้าใจอยู่แล้ว และถ้าจะว่ากันไปแล้วสมัยที่พรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำเราก็มีการอภิปราย น่าจะ 4 ครั้งทุกครั้งก็อภิปรายรัฐมนตรีหลายคน
ผมก็ยังเชื่อว่าครั้งนี้ก็เหมือนเป็นปกติที่จะมีอภิปรายรัฐมนตรีคนอื่นด้วย ไม่ได้หมายความว่าเป็นนัยอย่างเดียวว่ามีการไปล็อบบี้อะไรกัน ไม่ผิดปกติ เขาอาจเดิมมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพรรคเพื่อไทย ถ้าพูดอย่างนั้นพรรคพลังประชารัฐก็เคยร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยเหมือนกัน ก็ต้องไม่อภิปราย มันก็ไม่ใช่เสียทีเดียว คือการทำหน้าที่พรรคฝ่ายค้าน ก็คือพอเราสวมบทบาทพรรคฝ่ายค้านก็ต้องมีหน้าที่ไปอภิปรายประเด็นว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลอะไร”
ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ เนื่องจากที่มีนักวิชาการหรือผู้อาวุโสที่เป็นรัฐมนตรีอยู่หลายท่านที่มีความรู้ จึงออกมาให้ความเห็นได้มาก ด้วยความที่คนอยู่ข้างนอกไม่ต้องมีภาระเรื่องการพิจารณากฎหมายเหมือนคนที่อยู่ในสภา จึงมีเวลาเจาะลึกและนำเสนอประเด็น โดยจัดทำเป็นศูนย์วิชาการและประสานกับ สส. มีการตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายพรรคพลังประชารัฐในสภาผู้แทนราษฎร โดยมีรองหัวหน้าพรรค ชัยมงคลไชยรบ ซึ่งเป็น สส.สกลนคร เป็นประธานและ สส. เกือบทุกคนจะเป็นคณะทำงาน
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่พรรคพลังประชารัฐมี สส. ซึ่งไม่อยากเรียกว่าน้อย แต่มีประมาณ 20 คน เมื่อไปแบ่งเวลาเฉลี่ยกับพรรคร่วมฝ่ายค้าน
อื่นๆ จึงได้เวลาน้อยลง ก็ต้องอภิปรายไปตามนั้น แต่ก็คาดหวังในการอภิปราย เพราะเมื่อมีการอภิปรายแต่ละครั้งประชาชนก็ให้ความสนใจ สื่อก็ตามทำข่าว จะทำให้เกิดการเปิดประเด็นสำคัญๆ ความไม่ชอบมาพากลในรัฐบาลโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี และแม้จะหวังเรื่องการยกมือโหวตของ สส. เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ยาก แต่การเปิดข้อมูลให้สังคมรับรู้ปัญหาของรัฐบาล ก็จะส่งผลให้รัฐบาลอายุสั้นลง
ส่วนคำถามว่าอยากให้การอภิปรายเกิดขึ้นเมื่อใด คาดหวังว่าน่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนมี.ค. 2568 แต่เรื่องนี้ปัจจัยไม่ได้อยู่ที่ฝ่ายค้านเพราะฝ่ายค้านอยากให้อภิปรายโดยเร็วอยู่แล้ว แต่มักจะเกิดจากฝ่ายรัฐบาลที่ดึงไปช่วงท้ายๆ ของสมัยประชุม ซึ่งไม่ได้ว่าเฉพาะพรรคใดเพราะชอบทำกันทุกรัฐบาล เพื่อไม่ต้องการให้ขยายผลไปในช่วงที่สภาเปิด โดยสมัยประชุมล่าสุดจะปิดประชุมในวันที่ 10 เม.ย. 2568
“สำหรับพรรคพลังประชารัฐ เราก็ตั้งอกตั้งใจทำงานในฐานะพรรคฝ่ายค้าน และเราก็มั่นใจว่าอย่างไรรัฐบาลนี้อยู่ไม่ได้นานอยู่แล้ว เราก็เป็นห่วงการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล นำโดยนายกฯ ท่านนี้มีปัญหาเยอะ เราก็อยากจะให้ประชาชนมีโอกาสที่จะได้รัฐบาลใหม่ ซึ่งพรรคพลังประชารัฐเราก็มีนโยบายดีๆ ที่จะเข้าไปทำงานให้กับประชาชน”
หมายเหตุ : สามารถรับชมรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง”ดำเนินรายการโดย บุญระดม จิตรดอน ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์”ทุกวันอังคาร-พฤหัสบดี เวลา 11.00-12.00 น. โดยประมาณ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี