ภาวะโลกเดือด การกลับมาของโลกสองขั้ว (สหรัฐฯ - จีน) เศรษฐกิจสุดป่วน วิถีใหม่แห่งสังคม ปัญญาประดิษฐ์-การปฏิวัติสู่อนาคต และ การบริหารความรับผิดชอบสู่ความยั่งยืน คือ 6 สถานการณ์และแนวโน้มสำคัญของประเทศไทยและของโลก ที่ปรากฏอยู่ใน “รายงานสถานการณ์วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ปี 2566-2567” ซึ่งจัดทำโดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)
แน่นอนว่า 6 สถานการณ์และแนวโน้มสำคัญนี้ มีผลต่อการให้น้ำหนักหรือกำหนดจุดเน้นในการจัดทำนโยบาย การพัฒนาข้อเสนอแนะเชิงวิชาการ การคิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม และงานวิจัย อันเป็นรากฐานในการแก้ไขปัญหาด้วยข้อมูลข้อเท็จจริงอย่างเป็นวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) และ มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย เห็นพ้องร่วมกันถึงความสำคัญของการแก้ไขปัญหาบนฐานของงานวิชาการ จึงประสานความร่วมมือในการพัฒนาองค์ความรู้ตอบโจทย์ประเทศ ผ่านการมอบ รางวัลผลงานวิชาการดีเด่น TTF AWARD สนับสนุนนักวิชาการไทยให้สร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ ที่เท่าทันความเปลี่ยนแปลง และเอื้อประโยชน์ทางภูมิปัญญาแก่สังคมไทยให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยดำเนินการติดต่อกันมาเป็นปีที่ 30
ล่าสุดในปี 2566-2567 มีงานวิจัยทรงคุณค่าที่น่าสนใจ 4 เรื่อง ที่สอดรับกับสถานการณ์และแนวโน้มของประเทศไทยและของโลก และสามารถคว้ารางวัล ผลงานวิชาการดีเด่น TTF AWARD ประจำปี 2566-2567 จากผลงานส่งเข้ารับการพิจารณาทั้งหมด 62 ผลงาน
เสริมพลังชุมชนกับการพัฒนาที่ยั่งยืน
เริ่มจากรางวัลผลงานทางวิชาการดีเด่นด้านสังคมศาสตร์ ผลงานชื่อ “การเสริมพลังชุมชนกับการพัฒนาที่ยั่งยืน” โดย ศ.ดร.สมศักดิ์ สามัคคีธรรม คณะพัฒนาสังคมและยุทธศาสตร์การบริหาร สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ซึ่งอภิปรายเกี่ยวกับแนวคิด “การพัฒนาที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน” ในประเด็นว่าด้วย “การเสริมพลังชุมชนเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” โดยเนื้อหาสำคัญประกอบด้วยข้อถกเถียงเกี่ยวกับชุมชน ชุมชนนิยมกับปัจเจกชนนิยม การจัดการทรัพยากรร่วม การเสริมพลังชุมชน และ ชุมชนเข้มแข็ง รวมทั้งการศึกษาในประเด็นการพัฒนาที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน ในกรณีของการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน การจัดการป่าชุมชน องค์กรการเงินชุมชน บ้านมั่นคง การจัดสวัสดิการชุมชน การจัดการภัยพิบัติโดยชุมชน และการประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
ข้ออภิปรายในงานวิจัยเล่มนี้ เรียกได้ว่าเป็นรากฐานในการจัดการกับปัญหา สถานการณ์ และความท้าทายในมิติต่างๆ ของประเทศไทยได้ ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากภาวะโลกเดือด ผลพวงจากวิกฤตเศรษฐกิจ การพัฒนาที่ยั่งยืน ฯลฯ โดย ศ.ดร.โกวิท พวงงาม อดีตคณบดีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตนายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช และอดีต ส.ส. บัญชีรายชื่อ ระบุว่า ข้อดีของงานวิจัยชิ้นนี้คือก่อให้เกิดข้อถกเถียง ไม่ว่าจะเป็นการพูดถึงชุมชนในประเภทและมิติต่างๆ ซึ่งผู้เขียนไม่ได้ชี้นำหรือบอกว่าอะไรผิดอะไรถูก หรือการพูดถึงความคิดในกระแสหลัก คือการพัฒนาที่มุ่งไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือตัวเลขจีดีพี เทียบเคียงกับกระแสทางเลือกหรือกระแสสมัยใหม่ คือการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือสิ่งที่ตรงกันข้าม รวมไปถึงข้อเสนอที่น่าสนใจท้าทายและกรณีศึกษาคือการใช้ชุมชนเป็นฐาน การเสริมสร้างพลังชุมชน การจัดตั้งภาคีสาธารณะที่ควรร่วมมือกัน ฯลฯ ทั้งหมดนี้นำไปสู่การเกิดข้อวิพากษ์ของผู้อ่าน
“นักวิชาการที่ดีคือผู้ที่นำเสนองานวิชาการออกมาให้ผู้อ่านตัดสินหรือเลือกใช้ อาจารย์ได้ให้ข้อคิดรายเคส และให้ทางเลือกเพื่อให้นักวิชาการได้คิดต่อ ผมคิดว่านี่เป็นเรื่องสำคัญในสายสังคมศาสตร์” ศ.ดร.โกวิท กล่าว
สืบสรรค์วรรณคดีไทยในบริบทสังคมไทยร่วมสมัย
ถัดมาคือรางวัลผลงานทางวิชาการดีเด่นด้านมนุษยศาสตร์ ผลงานชื่อ “สืบสรรค์วรรณคดีไทยในบริบทสังคมไทยร่วมสมัย” โดย รศ.ดร.นิตยา แก้วคัลณา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นฐานความรู้สำคัญเกี่ยวกับการสืบสรรค์วรรณคดีไทย ซึ่งปรากฏทั้งการสืบทอด การสร้างใหม่ และการนำมาปรับใช้ในบริบทสังคมวัฒนธรรมร่วมสมัย ซึ่งในบริบทของโลกาภิวัตน์ส่งผลหรือก่อให้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ของสังคมไทย และปรากฏการณ์พลวัตของวรรณคดีไทยในบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลง ดังปรากฏการนำ “วรรณคดีไทย” มาผลิตซ้ำ แปรรูปใหม่ หรือผลิตขึ้นใหม่ในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะในสื่อใหม่และสื่อสังคมออนไลน์ ทำให้เห็นมิติของการสืบสรรค์วรรณคดีไทยซึ่งเป็นมรดกวัฒนธรรรมของชาติและเป็นทุนทางวัฒนธรรมนี้ว่า ได้มีการปรับเปลี่ยนนำมาประยุกต์ใช้ในบริบทใหม่ๆ อย่างเป็นพลวัตไม่มีที่สิ้นสุด และไม่สูญหายไปจากสังคมวัฒนธรรมของไทย
สามารถพูดได้ว่าการศึกษาของ รศ.ดร.นิตยา มีความเชื่อมโยงกับบริบทวิถีใหม่แห่งสังคม ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว สำหรับงานวิจัยชิ้นนี้ รศ.ดร.ธัญญา สังขพันธานนท์ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ ปี 2559 เจ้าของรางวัลซีไรต์ ปี 2530 และอาจารย์คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ระบุว่า ความโดดเด่นของหนังสือเล่มนี้คือผู้เขียนได้คำนึงถึงความเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศสังคมวิทยาวรรณกรรม มีการสร้างองค์ความรู้ใหม่ และมีความครอบคลุมในสารบบของการสืบสรรค์ สะท้อนถึงความอุตสาหะวิริยะของผู้เขียน มีตัวอย่างที่สด ทันสมัย หากมองในมิติของการเขียนตำราพบว่าครู-อาจารย์สามารถนำไปใช้สอนหนังสือได้ทันที และยังช่วยกระตุ้นให้เกิดข้อถกเถียง แรงบันดาลใจ และการต่อยอดงานวิชาการในประเด็นนี้ในหลากหลายต่อไปในอนาคต
“หนังสือเล่มนี้ นับเป็นหนังสือเล่มแรกที่มีการพูดเรื่องงานสืบสรรค์อย่างเป็นทางการ ผมเชื่อว่างานชิ้นนี้จะมีคุณค่า มีคุณูปการ ในวงวรรณคดีศึกษา ผมเป็นนักเขียนแล้วรู้สึกตื่นตาตื่นใจและตื่นเต้นมาก นักเขียนรุ่นใหม่-คนหนุ่มสาวที่เขียนอยู่ในออนไลน์ ซึ่งเป็นโลกวรรณกรรมขนาดมหึมาและมีมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาลจะได้ประโยชน์จากงานวิจัยเล่มนี้เป็นอย่างสูง นี่ถือเป็นซอฟต์พาวเวอร์ได้เลย” รศ. ดร.ธัญญา กล่าว
โรคภูมิแพ้แมลงสาบ
รางวัลผลงานทางวิชาการดีเด่นด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ ผลงานชื่อ “โรคภูมิแพ้แมลงสาบ” โดย ศ. ดร.พญ.อัญชลี ตั้งตรงจิตร และ รศ. ดร.นิทัศน์ สุขรุ่ง คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ ซึ่งสารก่อภูมิแพ้ที่พบในบ้าน ได้แก่ สารก่อภูมิแพ้ไรฝุ่นและสารก่อภูมิแพ้แมลงสาบเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนเกิดอาการแพ้มากที่สุด การศึกษาวิจัยทั้งในระดับประเทศและในระดับโลกส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ไรฝุ่น การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้แมลงสาบมีค่อนข้างน้อย ผลงานเล่มนี้จึงครอบคลุมตั้งแต่อุบัติการณ์ของโรค ชีววิทยาและนิเวศวิทยาของแมลงสาบ ชีววิทยาของสารก่อภูมิแพ้จากแมลงสาบ เนื้อเยื่อและเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับโรคภูมิแพ้ กลไกการเกิดโรค การตรวจวินิจฉัยภาวะภูมิแพ้ การรักษา และการควบคุมแมลงสาบเพื่อลดปริมาณสารก่อภูมิแพ้จากแมลงสาบในสิ่งแวดล้อมที่เป็นต้นเหตุของโรค
ศ. ดร.พญ.อรพรรณ โพชนุกูล นายกสมาคมสภาองค์กรโรคหืดแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2567-2569 และอาจารย์คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายว่า ครึ่งหนึ่งของประชากรไทยเป็นโรคภูมิแพ้ แต่คนส่วนใหญ่จะรู้จักแต่ไรฝุ่นซึ่งเป็นสารก่อภูมิแพ้อันดับหนึ่งของโลก ส่วนแมลงสาบซึ่งเป็นสาเหตุอันดับสองเคียงคู่มากลับ คนกลับมองข้าม โดยปัจจุบันภูมิแพ้จากไรฝุ่นสามารถรักษาให้หายขาดได้เนื่องจากมีข้อมูลองค์ความรู้จำนวนมาก ตรงกันข้ามกับแมลงสาบที่องค์ความรู้น้อยมาก การต่อยอดเพื่อนำไปสู่การรักษาให้หายขาดจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก
“แต่ทีมนักวิจัยที่เขียนงานวิจัยชิ้นนี้ ถือเป็นนักวิจัยระดับ TOP3 ของโลก ที่ทำวิจัยเรื่องภูมิแพ้แมลงสาบ หนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมองค์ความรู้ทั้งโลกในเรื่องนี้ออกมาเป็นระบบ ช่วยให้แพทย์สามารถดูแลคนไข้ได้ดีขึ้น น้อยคนจะรู้ว่าแมลงสาบในโลกนี้มีหลายสายพันธุ์ แต่ละสายพันธุ์มีนิสัยต่างกัน และมีเทคนิคการดูแลคนไข้ที่ต่างกัน ในฐานะที่เป็นแพทย์ เป็นอาจารย์ และเป็นนักวิจัย ต้องขอบคุณอาจารย์และทีมงานที่เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา” ศ. ดร.พญ.อรพรรณ กล่าว
ปรับปรุงพันธุ์ข้าวภายใต้สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม
สุดท้ายคือ รางวัลผลงานทางวิชาการดีเด่นด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ผลงานชื่อ “การปรับปรุงพันธุ์ข้าวภายใต้สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม” โดย รศ. ดร.ชเนษฎ์ ม้าลำพอง คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่สอดรับกับสถานการณ์ความท้าทายเรื่องภาวะโลกเดือดโดยตรง รูปธรรมของงานวิจัยช่วยให้เกษตรกรรับมือกับปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญาที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นได้เป็นอย่างดี โดยงานวิจัยชิ้นนี้มีเนื้อหาครอบคลุมการปรับปรุงพันธุ์ข้าวด้วยวิธีดั้งเดิม และการปรับปรุงพันธุ์ด้วยวิธีทางพันธุศาสตร์โมเลกุล เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายภายใต้สภาวะโลกร้อน และภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ได้แก่ การปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้ทนทานต่ออุณหภูมิสูง สภาพแล้ง สภาพเค็ม และสภาพน้ำท่วม รวมทั้งการปรับปรุงพันธุ์ข้าวต้านทานต่อโรคและแมลง และการปรับปรุงพันธุ์ข้าวเพื่อคุณภาพและโภชนาการ
รศ. ดร.สมพร อิศวิลานนท์ อดีตคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ และอดีตอาจารย์ภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในฐานะนักวิชาการอิสระ กล่าวว่า ในอนาคตเราไม่ได้กินข้าวเพื่อแค่อิ่มท้อง แต่ข้าวจะเป็นโภชนาอย่างหนึ่ง ในเม็ดข้าวจะมีสารต่างๆ ที่ช่วยป้องกันโรค ข้าวจะมีราคาสูงขึ้น และควรได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ ซึ่งหนังสือเล่มนี้บอกเล่าถึงพัฒนาการความเป็นมาในการพัฒนาสายพันธุ์ และเรื่องการปรับปรุงพันธุ์พืช จะช่วยเป็นฐานการเรียนรู้ให้แก่ผู้ที่สนใจเข้ามาศึกษาด้านนี้
“การปรับปรุงพันธุ์พืชเป็นสาขาที่ค่อนข้างขาดแคลนบุคลากรมาก หนังสือเล่มนี้จะช่วยเป็นฐานให้คนเข้ามาเรียนในเรื่องนี้มากขึ้น ถ้าเรามีการลงทุนเพื่อปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้ดี จะช่วยสร้างความมั่นคงและความมั่งคั่งแก่เกษตรกร และเรายังสามารถนำเรื่องการปรับปรุงพันธุ์ข้าวขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทยได้ ตัวอย่างเช่นข้าวเวียดนาม จากเดิมข้าวแข็งขายได้ 370 เหรียญ แต่หลังจากปรับปรุงพันธุ์ให้นิ่มขึ้น สามารถขายได้ถึง 560-570 เหรียญ โดยใช้พื้นที่ปลูกเท่าเดิม” รศ. ดร.สมพร กล่าว
-(016)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี