อาการเจ็บป่วย และเหตุการณ์ฉุกเฉินทางสุขภาพสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนทุกเวลา และทุกสถานที่ การรู้จักอาการฉุกเฉินที่พบบ่อย สามารถช่วยให้เรารับมือได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที
นายแพทย์กิตติภูมิฐ์ กวินโชติไพศาล แพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ศูนย์บริการผู้ป่วยฉุกเฉินและอุบัติเหตุ (Emergency Room) โรงพยาบาลนวเวช ได้หยิบยกตัวอย่างเหตุการณ์ฉุกเฉิน ให้ได้เข้าใจอาการของโรคต่างๆ ที่จะต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว เพื่อทำการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
1.อาการหัวใจวาย (Heart Attack) อาการหัวใจวายมักเริ่มต้นด้วยอาการจุกแน่นลิ้นปี่หรือแสบแน่นหน้าอก รู้สึกแน่นบริเวณแขนซ้าย คอ หรือกราม บางคนอาจมีเหงื่อออกมาก หายใจติดขัด หรือรู้สึกคลื่นไส้ การรักษาเบื้องต้นคือ ให้ผู้ป่วยพักในท่านั่ง หรือนอนพัก และรีบติดต่อหน่วยแพทย์ฉุกเฉินทันที เนื่องจากอาการหัวใจวายมีความคล้ายคลึงกับอาการของโรคอื่น เช่น โรคกรดไหลย้อน จึงควรให้แพทย์ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และทำการวินิจฉัยโดยเร็วเพื่อการรักษาที่เหมาะสม
2.โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) อาการของโรคหลอดเลือดสมอง ได้แก่ หน้าเบี้ยว พูดลำบาก แขนขาอ่อนแรง หรือไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ด้านใดด้านหนึ่ง ควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที เพราะโรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคที่อันตราย แต่หากรู้เร็ว รักษาทันเวลาก็สามารถช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี
3.อาการช็อก (Shock) ภาวะช็อกเกิดขึ้นจากการที่ร่างกายไม่สามารถไหลเวียนเลือดได้เพียงพอ ส่งผลให้อวัยวะต่างๆ ขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง อาการที่พบบ่อยคือหน้าซีด เหงื่อออกมาก ชีพจรเบา เร็ว และอาจถึงขั้นหมดสติ การรักษาเบื้องต้น คือให้ผู้ป่วยนอนราบ ยกขาขึ้นและติดต่อแพทย์ทันที เพื่อคัดกรองและให้สารน้ำทดแทนแร่ธาตุที่สูญเสียไป อาจจำเป็นต้องตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาภาวะแทรกซ้อน หรือการติดเชื้อร่วมด้วย
4.อาการสำลัก (Choking) อาการสำลักเกิดขึ้นเมื่อทางเดินหายใจถูกปิดกั้นโดยอาหารหรือวัตถุ ทำให้หายใจไม่ออก โดยมีสัญญาณ เช่น การไอแรง หน้าตาแดง และบางครั้ง
อาจมีอาการเสียงหอบเหนื่อยได้ อาการสำลักมี 2 ประเภท คือ อุดตันทั้งหมด-ผู้ป่วยจะไม่สามารถออกเสียงได้ เพราะทางเดินหายใจถูกปิดสนิทและอุดตันบางส่วน-ผู้ป่วยอาจมีเสียงหอบเหนื่อย และยังพอออกเสียงได้บ้าง หากผู้ป่วยอยู่ในภาวะวัตถุอุดตันหลอดลม ควรช่วยเหลือหรือใช้วิธี Heimlich maneuver โดยการกดแรงๆ ที่ลิ้นปี่ (ส่วนบนของกระบังลม) เพื่อดันสิ่งที่ติดออกจากทางเดินหายใจ และหากอาการยังไม่ดีขึ้นหรืออยู่ในภาวะอันตราย ควรรีบโทรแจ้งหน่วยแพทย์ฉุกเฉินทันที
5.บาดเจ็บจากการหกล้ม (Falls and Injuries) การหกล้มอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บได้หลากหลาย ตั้งแต่ฟกช้ำ กระดูกหัก จนถึงอาการบาดเจ็บที่ศีรษะ หากผู้ป่วยไม่สามารถเคลื่อนไหว หรือมีอาการปวดรุนแรง ควรหลีกเลี่ยงการขยับตัว และรีบติดต่อแพทย์เพื่อประเมินอาการ ในกรณีที่การหกล้มมีความรุนแรง อาจส่งผลให้เกิดเลือดคั่งในสมอง หากผู้ป่วยมีอาการอาเจียน หรือมีเลือดออกที่หู, จมูก ภายหลังการหกล้ม ควรรีบพบแพทย์ทันที
6.ภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง (Severe Dehydration) ภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรงมักเกิดจากการที่ร่างกายสูญเสียน้ำมาก เช่น จากการออกกำลังกายหนัก อากาศร้อนจัด หรือการเจ็บป่วยที่ทำให้สูญเสียน้ำ เช่น อาเจียนหรือ ท้องเสีย อาการของภาวะนี้ที่พบบ่อย ได้แก่ ปากแห้ง เวียนศีรษะ หัวใจเต้นเร็ว ปัสสาวะน้อยและเป็นสีเข้ม หรือไม่ปัสสาวะเลย การรักษาภาวะนี้อาจเริ่มจากการดื่มน้ำเกลือแร่ เพื่อทดแทนแร่ธาตุที่สูญเสียไปแต่ในกรณีที่ร่างกายขาดน้ำอย่างรุนแรงจนไม่สามารถดื่มน้ำเองได้ หรือมีอาการรุนแรง จำเป็นต้องให้สารน้ำทดแทนแร่ธาตุต่างๆ ทางหลอดเลือดดำ เพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกาย
7.แพ้อาหารหรือยารุนแรง (Anaphylaxis) อาการแพ้รุนแรง หรือแอนาฟิแล็กซิส (Anaphylaxis)อาจเกิดขึ้นได้จากการรับประทานอาหาร ยาหรือสารที่แพ้ อาการที่พบบ่อยคือ หายใจติดขัดผื่นขึ้น ตาบวม ปากบวม หรืออาจจะมีอาการท้องเสียอาเจียน, ได้ยินเสียงวี้ดที่ปอดขณะหายใจ,วูบหมดสติ หากพบอาการดังกล่าวควรใช้ยา Epinephrine หรือยาแก้แพ้ฉุกเฉิน และรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที
8.บาดแผลฉกรรจ์ (Severe Cuts or Lacerations) บาดแผลลึกที่มีเลือดออกไม่หยุดหรือบาดแผลขนาดใหญ่ ควรได้รับการรักษาโดยแพทย์โดยเร็ว การปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่สำคัญคือการกดแผลด้วยผ้าสะอาดหรือผ้าก๊อซเพื่อช่วยหยุดเลือด และรีบนำตัวผู้บาดเจ็บไปโรงพยาบาล ในกรณีที่เลือดไหลออกมาก การปฐมพยาบาลด้วยวิธี ขันชะเนาะ (Tourniquet) อาจช่วยลดการไหลของเลือดได้โดยห้ามปลดขันชะเนาะจนกว่าผู้บาดเจ็บจะถึงโรงพยาบาล เพื่อให้แพทย์เป็นผู้ดำเนินการรักษาต่อ
9.ไฟไหม้หรือสารเคมีโดนผิวหนัง (Burns or Chemical Burns) การถูกไฟไหม้หรือสารเคมีสัมผัสผิวหนัง สามารถทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงได้ การปฐมพยาบาลเบื้องต้นคือการล้างบริเวณที่ถูกไฟไหม้ด้วยน้ำอุณหภูมิห้อง ควรปิดแผลด้วยผ้าสะอาด และรีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยเร็ว หากเป็นกรณีของสารเคมีโดนผิวหนัง ให้ล้างบริเวณที่สัมผัสสารเคมีด้วยน้ำสะอาดในปริมาณมากทันที หากสารเคมีเข้าสู่ปากหรือกลืนกิน ไม่ควรกระตุ้นให้อาเจียน เนื่องจากอาจทำให้สารเคมีกลับมาทำอันตรายได้อีก ควรรีบติดต่อหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน เพื่อการรักษาที่เหมาะสม
10.อาการชัก (Seizures) คือการที่ร่างกายมีการเกร็งและสั่นอย่างรุนแรงซึ่งสามารถเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น โรคลมชักการบาดเจ็บที่ศีรษะ หรือการขาดน้ำ เมื่อผู้ป่วยมีอาการชัก ควรจัดท่าให้นอนตะแคง เพื่อป้องกันการสำลัก หลีกเลี่ยงการใส่วัตถุใดๆ เข้าปาก เนื่องจากอาจทำให้เกิดบาดเจ็บเพิ่มเติม และไม่ช่วยป้องกันการกัดลิ้นตามที่หลายคนเข้าใจผิดควรติดต่อหน่วยแพทย์ฉุกเฉินเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลจากผู้ที่มีความชำนาญเฉพาะทางโดยเร็วที่สุด
กรณีต้องการความช่วยเหลือหรือเรียกรถพยาบาลฉุกเฉินโทร.02-4839944 หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดและขอรับคำปรึกษาได้ที่ศูนย์บริการผู้ป่วยฉุกเฉินและอุบัติเหตุ (Emergency Room) โรงพยาบาลนวเวช โทร.1507/Line : @navavej
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี