ในรอบ 1 เดือนมานี้ หนึ่งในเรื่องที่เป็นประเด็นร้อนทางการเมืองและสังคมไทย คือ “การส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คนกลับประเทศจีน” หลังถูกควบคุมตัวในสถานกักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) มานานถึง 10 ปี ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งจากชาติตะวันตก รวมถึงเครือข่ายคนทำงานด้านสิทธิมนุษยชนทั้งในและต่างประเทศ มองว่ารัฐบาลไทยละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง เพราะส่งกลับไปในที่ที่คนเหล่านั้นอาจได้รับอันตราย
ในขณะที่ฝ่ายรัฐบาลก็ตอบโต้ว่า ที่ผ่านมาไม่มีประเทศใดเลยแสดงความจำนงอย่างชัดเจนในการรับชาวอุยกูร์ไปเป็นผู้ลี้ภัย อีกทั้งทางการจีนเองก็ทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร ให้คำมั่นว่าจะดูแลชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับไปเป็นอย่างดีเนื่องจากไม่ใช่บุคคลที่มีคดีความร้ายแรงติดตัว และพร้อมให้ฝ่ายไทยไปเยี่ยมได้ทุกเมื่อ จนมีการเชิญตัวแทนสื่อมวลชนไทยติดตามคณะผู้แทนรัฐบาลไทยไปเยี่ยมกันมาแล้วตามที่ปรากฏเป็นข่าว
รายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในตอนที่เผยแพร่วันที่ 19 มี.ค. 2568 ชวนพูดคุยกับ รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อดีตอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในประเด็นนี้ โดย รศ.ดร.ปณิธาน ฉายภาพเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ในประเทศจีน ซึ่งเนื้อที่กว้างใหญ่กว่าไทยทั้งประเทศถึง 3 เท่า มีประชากรชาวอุยกูร์ราว 10 ล้านคน จากประชากรทั้งหมดในพื้นที่ราว 25 ล้านคน
ซึ่งหากย้อนไปราว 10-20 ปีก่อน ซินเจียงยังมีเศรษฐกิจที่ไม่ดี แต่ปัจจุบันมีการเปิดพื้นที่มากขึ้น และก่อนหน้าคณะสื่อไทย ก็เคยมีสื่อต่างประเทศเข้าไปในสถานที่ที่ถูกเรียกว่าสถานกักกันหรือสถานฝึกอาชีพ ขณะที่สถานการณ์ความไม่สงบก็น้อยลงไปมาก หากเทียบกับในอดีตที่ทางการจีนระบุว่ามีชาวอุยกูร์บางส่วนเชื่อมโยงกับกลุ่มก่อการร้าย รวมถึงมีรายงานการจับกุมและซ้อมทรมานผู้ต้องสงสัยโดยทางการจีนปรากฏในองค์การสหประชาชาติ (UN) และชาติตะวันตก เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี
“คนไทยส่วนใหญ่ก็รู้สึกว่าน่าจะต้องส่งกลับทุกชุดทุกกลุ่มที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย จะได้ไม่เป็นภาระของคนไทย พม่านับแสนรายอยู่ในค่ายที่ต้องส่งกลับ ยังมีอีกหลายชาติมาก ฉะนั้นพื้นฐานคือต้องส่งกลับ แต่ถ้าตามกติกาสากลซึ่งเราเป็นภาคีอยู่ต้องไม่ให้เขาอันตราย และถ้าเกิดเขาต้องการไปประเทศที่ 3 ก็ต้องพยายามประสานให้เขาไป 173 คนที่เป็นผู้หญิงและเด็ก ที่เราส่งไปก่อนล่วงหน้า ที่เราส่งไปแต่แรก เข้ามา 300 กว่าคน เราส่งไปที่ตุรกี ก็อยู่เรียบร้อยดี
ทั้งหมดเหล่านี้วันนี้เราต้องคุยอย่างเข้มข้นว่าเรากำลังถูกล้อม กำลังถูกกดดัน กำลังจะต้องเข้าไปสู่การเจรจากับสหรัฐฯ เหมือนกับจีน ในการกำหนดกำแพงภาษี และเขาพูดชัดเจนว่าเขาจะใช้เงื่อนไขเหล่านี้กดดันเรา ฉะนั้นถ้าจีนช่วยเรามากกว่านี้ ก็จะต้องให้เรากลับมาดูใหม่ หรือดู
ตอนนี้เลยให้ได้มากที่สุด เอาสัก 39 คนก็ได้ 38 คน 30 คนอะไรก็ว่าไป แล้วตรงนี้ก็จะเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่เราจะกลับไปคุยกับสหรัฐฯ กับทางยุโรป ซึ่งเขาก็เปิดช่องว่าถ้าเราตรวจสอบได้ว่าปลอดภัยจริงก็มาคุยกันใหม่”
อนึ่ง นอกจากไทยจะต้องพิสูจน์แล้ว จีนก็ต้องพิสูจน์เช่นกันว่าดูแลชาวอุยกูร์ที่รับกลับไปเป็นอย่างดี เพราะจีนเป็นประเทศที่ค้าขายกับประเทศต่างๆ รวมทั้งกับสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ เป็นคนหนึ่งที่ติดตามสถานการณ์ของชาวอุยกูร์มานาน 10-20 ปี จนถูกทางการจีนขึ้นบัญชีสั่งห้ามเข้าพื้นที่ และเมื่อต้นปี 2568 ได้กล่าวในการแถลงเข้ารับตำแหน่งต่อที่ประชุมรัฐสภา ว่าจะเจรจากับทางการไทย พร้อมกับมีกระแสข่าวว่ามีความพยายามติดต่อมาที่ไทย
จึงเกิดคำถามคาใจว่า ในเมื่อ รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ เชื่อว่าคุยได้และเชื่อว่าไทยยังไม่ส่งตัวชาวอุยกูร์ให้จีน ถึงขั้นคาดหวังกันว่าความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ จะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่รวมถึงมีรายงานข่าวโดยอ้างบุคคลที่เป็นวงใน ยืนยันว่ามีความพยายามติดต่อจริง แต่เรื่องนี้ก็ต้องให้ฝ่ายค้านไปตรวจสอบว่าจริงหรือไม่ แต่เมื่อไทยส่งชาวอุยกูร์ 40 คนกลับไปจีน รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ ก็ได้ออกมาประณามไทยอย่างรุนแรงและไม่เคยเป็นมาก่อน รวมถึงออกคำสั่งห้ามบุคคลของทางการไทยที่เกี่ยวข้องกับการส่งชาวอุยกูร์กลับจีนเดินทางเข้าสหรัฐฯ
ซึ่งคำสั่งดังกล่าวจะมีผลกระทบมาก เพราะมีเจ้าหน้าที่ของทางการไทยที่ทำงานร่วมกับทางการสหรัฐฯ ทั้งภารกิจดูแลความปลอดภัยชาวอเมริกันในไทย และดูแลความปลอดภัยชาวไทยในต่างประเทศ มีวงสนทนาระหว่างกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหมและสภาความมั่นคงฯของทั้ง 2 ประเทศ สลับไป-มาในทุกปีก็ต้องหยุดและปรับเปลี่ยน โดยเรื่องนี้หากไทยยืนยันความปลอดภัยของชาวอุยกูร์ได้ ผลกระทบในส่วนนี้ก็จะน้อยลง จึงเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการในระยะสั้น
ส่วนในระยะกลางซึ่งไทยยังมีวาระเรื่องเขตการค้าเสรีกับยุโรป รวมถึงกำแพงภาษีของสหรัฐฯ เป็นเรื่องที่ต้องพูดคุยกันอย่างมาก และต้องพยายามปกป้องไม่ให้ประเทศไทยได้รับผลกระทบมากนัก ทั้งนี้ แม้จะไม่มีการข่มขู่ แต่ไทยมีแนวโน้มถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 10 เนื่องจากไทยค้าขายได้ดุลการค้าสหรัฐฯ ส่วนเรื่องการระงับวีซ่าจะมีใครบ้างที่โดนก็ต้องดูว่าสหรัฐฯ จะแรงแค่ไหน เพราะที่ผ่านมาผิดคาดหมด ที่เชื่อว่าสหรัฐฯ จะไม่แรงกับแคนาดา เม็กซิโก ยุโรป เอาเข้าจริงคือแรงหมด หลายคนก็บอกว่าต้องระวังมาก
“ในชั้นต้นเขาคิดว่าไม่ได้แรงไปถึงฝ่ายการเมืองในระดับสูงสุด อย่างดีถึงขั้นรัฐมนตรีก็ถือว่าหนักแล้ว แต่ที่แน่ๆ เจ้าหน้าที่ประจำทั้งกระทรวงยุติธรรม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม สำนักงานสภาความมั่นคง ก็ต้องมาไล่ดูว่าใครจะโดนบ้างที่เกี่ยวข้อง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เอาง่ายๆ ที่ไปชุดนี้ 20 กว่าคน จะโดนกี่คน เอาง่ายๆ เลย ถ้าเป็นอเมริกันก็บอกว่าชุดที่ไปจีนทั้งหมดนี่แหละเกี่ยวข้อง ไม่ต้องพิสูจน์ทราบอะไร ใครไม่ไปก็ยังไม่โดน ก็ยังได้ แต่มันมีอีกเรื่อง มันแปลกมาก เพราะพ่วงครอบครัวไปด้วย
อันนี้ผมก็ไม่เคยเห็น ทำงานทางด้านความมั่นคงมา 30 กว่าปี ครอบครัวเกี่ยวข้องอะไรด้วย ถ้าเป็นเรื่องยาเสพติดเราเข้าใจเพราะเป็นการฟอกเงินอาจจะมาที่ครอบครัว แต่อันนี้ถ้าไปดูอีก 3 กลุ่ม 43 ประเทศที่ออกข่าวมาพอๆ กันว่าเป็นกลุ่มประเทศซึ่งทางสหรัฐฯ เขาจะจัดเรื่องไม่ให้เข้าเมือง หรืออาจต้องกลับจากสหรัฐฯ ด่วนๆ เลย มีหลายประเทศที่อยู่ในเอเชีย เป็นประเทศที่เขาบอกว่ามันมีปัญหาเรื่องความมั่นคง ปัญหาความรั่วไหลเรื่องความลับ มีเรื่องการเข้าไปขโมยความลับผ่านทางโครงการฝึกศึกษา ไปเรียนหนังสือแล้วไปขโมยไฮเทคเขา แล้วไปฟอกเงิน พวกนี้ก็จะโดนไปด้วยเยอะถ้าไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อันนี้มันโผล่มาพ่วงตรงเราด้วย”
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการระบุว่าสมาชิกในครอบครัวนั้นรวมถึงใครบ้างและคนที่อยู่ในสหรัฐฯอยู่แล้วจะต้องออกจากสหรัฐฯ หรือไม่แต่ทั้งหมดนี้จะเป็นแรงกดดันให้ไทยต้องยอมสหรัฐฯ ต้องซื้อสินค้าสหรัฐฯ มากขึ้น ส่วนกรณีที่ทางการจีนออกแถลงการณ์ปกป้องไทยและตอบโต้สหรัฐฯ มีข้อสังเกตเรื่องการใช้ถ้อยคำที่ฝ่ายจีนใช้คำทำนองว่า “ทั้งไทยและจีนรู้สึก...” ซึ่งในทางการทูตหรือว่าผิดปกติเพราะดูเหมือนจีนมาครอบงำไทย แต่ทางจีนก็อาจรู้สึกว่าไทยโดนโจมตีอย่างหนักจึงต้องช่วย พร้อมกับย้อนไปเทียบสหรัฐฯ ที่ผลักดันคนนับแสนออกนอกประเทศ
ซึ่งด้านหนึ่งแม้ท่าทีของจีนจะได้ใจคนไทย แต่อีกด้านหนึ่งเชื่อว่าทางกระทรวงการต่างประเทศคงกังวลเพราะจะดูเหมือนไทยอยู่ในกำกับของจีน และทางฝ่ายนักการเมืองในสหรัฐฯ ทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และสมาชิกวุฒิสภา (สว.)ก็เข้าใจและมีภาพจำอย่างคลาดเคลื่อนว่าไทยเป็นลูกน้องจีน อย่างตนไปสหรัฐฯ ทีไรก็ต้องเถียงเสมอว่าไทยไม่ได้เป็นลูกน้องใคร แต่ระยะนี้ก็อาจถูกมองว่าเอียงไปทางจีน เพราะทุนจีนสีเทาก็ไม่ปราบ ธุรกิจจีนก็เข้ามาเกะกะระรานธุรกิจไทย เวลาจีนมาปราบปรามองค์กรอาชญากรรมก็ดูเหมือนจะชี้นำไทย
กระทั่งล่าสุดคือเรื่องอุยกูร์ เกิดคำถามว่ามีการพูดคุยกันในระดับสูงแล้วหันหลังให้สหรัฐฯ หรือไม่ แถมจีนยังเป็นฝ่ายแถลงปกป้องไทยอีก อนึ่ง นักวิชาการของสถาบันยุทธศาสตร์สหรัฐฯ (CSIS) ก็กล่าวกับสื่อต่างประเทศว่าเวลานี้ไทยจะไม่ทำอะไร เหมือนกับไทยกำลังกบดาน เหมือนกับแอฟริกาใต้ที่กบดานหลังทูตถูกสหรัฐฯ ขับไล่ เพราะกลัวว่าจะโดนหนักขึ้น แต่ตนมองว่าการทำแบบนี้ไม่ช่วยอะไร เพราะในเมื่อไทยจะโดนอยู่แล้วก็ต้องเจรจา ยิ่งหากมีข้อมูลว่าชาวอุยกูร์ที่กลับจีนไปแล้วปลอดภัยก็ส่งให้สหรัฐฯ ไปเลย และแถลงข่าวด้วยว่าส่งข้อมูลให้สหรัฐฯ แล้ว
หรือก็คือต้องโยนลูกไปให้สหรัฐฯ อย่าให้อยู่ในมือไทย เพราะแม้ทางการไทยจะมีอำนาจดำเนินการตามกฎหมายไทยในพื้นที่ของประเทศไทย แต่เราพึ่งพาสหรัฐฯ ได้กำไรจากสหรัฐฯ แต่ในเมื่อสหรัฐฯ กำลังจะทะเลาะกับจีนมากขึ้น ไทยก็ต้องทำอะไรมากกว่าเดิม จะนิ่งๆ เฉื่อยๆ เหมือนเดิมไม่ได้ กระทรวงการต่างประเทศของไทยต้องยืนหยัดแสดงบทบาท และจริงๆ กรณีชาวอุยกูร์ 40 คน ไทยไม่ควรส่งให้ไปทั้งหมดเว้นแต่ทางการไทยจะสามารถดูได้ทั้งหมด แต่เรื่องนี้ยอมรับว่าทำยากเพราะคณะทำงานอาจเกรงใจทั้งจีน สหรัฐฯ ฝ่ายข้าราชการประจำและฝ่ายการเมือง
“ผมก็โดนมาแล้ว คุณก็คงคิดในใจ ตอนอาจารย์ไปอยู่ตรงนั้นไม่เห็นทำอะไรเลย พูดจาก็น้อย ตอนนี้ออกมาพูดได้ ก็แน่นอนเวลาอยู่ในกรอบมันก็ทำได้น้อย เคยอยู่นอกแถวตอนนี้อยู่ในแถวเรียบร้อยก็ธรรมดา แต่ว่าคราวนี้มันหมิ่นเหม่ มันผกผัน มันหัวเลี้ยวหัวต่อ จริงๆ ต้องยืนยันจากเจ้าหน้าที่ประจำว่าต้องทำแบบนี้ๆ เพราะเราเห็นแล้วว่าแนวจีนเอาเรื่องอยู่ เขาคงจะต่อรองได้เยอะถ้าเราไม่แข็งขืนแต่แรก
แล้วหลายครั้งที่เราแข็งขืนตั้งแต่แรกมันอาจจะช่วยได้สุดท้ายตอนนี้ผมคิดว่ากระทรวงความมั่นคงสาธารณะ(ของจีน) คงไม่ตัดสินใจอะไรมากกว่านี้ ถ้าจะให้ดูอะไรให้ครบต้องคุยกับประธานาธิบดีเลย ให้เขาสั่งลงมา คล้ายๆ กับที่เราเคยทำ คงจะนึกออก กระทรวงกลาโหมอเมริกัน ยามวิกฤตต้มยำกุ้งบอกไม่ช่วยไทยแล้วเพราะเจรจาไม่ได้ เราต้องซื้อเครื่องบิน F-18 เขา ต้องเสียค่าปรับ ทหารก็บอกคุยไม่ได้แล้ว พวกผมต้องช่วยกันเขียนหนังสือไปถึงคลินตัน (บิล คลินตัน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะนั้น) โดยตรง ให้คนที่เขาสนิทส่งไปให้เลย”
ซึ่งเมื่อผู้นำสหรัฐฯ เห็นจดหมาย ได้เข้าใจก็เห็นว่าต้องช่วยไทยและต้องช่วยหลายเรื่องด้วย ดังนั้นตนเชื่อว่า กรณีของ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีน หากไม่มีเรื่องดีลลับอะไรตามที่เคยปฏิเสธกันไว้ ไทยก็ต้องขอติดตามดูชาวอุยกูร์เยอะๆ หรือทั้งหมดแล้วให้ผู้นำจีนสั่งการลงมา โดยหากดูได้ไม่ครบทุกคนในวันที่คณะผู้แทนไทยไปเยือน ก็ต้องแถลงว่าภายใน 1 เดือนจะสามารถดูได้ทั้งหมด ในมุมของไทยก็จะสามารถปลดพันธนาการได้ หรือไม่ถูกกดดันมากนัก
ส่วนชาวอุยกูร์ที่ยังเหลือค้างอยู่ในประเทศไทย ทราบว่ามี 2 คน ที่อยู่ระหว่างการดำเนินคดีในชั้นศาลในคดีวางระเบิดศาลพระพรหม คงไปไหนไม่ได้แน่ๆ แต่ที่เหลือซึ่งเข้าใจว่าน่าจะเสียชีวิตไปแล้ว 2 คน ในส่วนที่ยังมีชีวิตอยู่ซึ่งเข้าใจว่าอยู่ในเรือนจำเพราะหลบหนีออกจากห้องกักของ ตม. ก็น่าจะลดโทษให้ได้ เพราะก็น่าเห็นใจเนื่องจากห้องกักไม่เหมือนกับเรือนจำสภาพความเป็นอยู่ลำบาก จะออกกำลังกาย รับประทานอาหารหรือสวดมนต์ก็ยาก ตนมองว่ากลุ่มนี้ส่งกลับได้แต่ต้องรับประกันความปลอดภัยด้วย
นอกจากนั้นยังมีอีก 17 คนที่มีหมายจับในคดีวางระเบิดศาลพระพรหมและท่าน้ำสาทร ซึ่งยังมีความเคลื่อนไหวอยู่ เรื่องนี้ทางการจีนรู้ดีเพราะเขาก็ติดตามอยู่ รวมถึงที่มีการพูดถึงชาวอุยกูร์ที่ยังไม่ปรากฏชื่อ ท่ามกลางชาวต่างชาตินับล้านที่เข้า-ออกประเทศไทยโดยไม่มีระบบตรวจสอบ ก็ต้องไปดูให้ดีว่าจะไปโผล่ตรงไหน แต่ส่วนที่เหลือหากทยอยส่งกลับได้สำเร็จก็ไม่น่ายากแล้ว
ในท้ายที่สุด มีข้อสังเกตว่า ประเทศไทยอยู่กำลังในความขัดแย้งระหว่าง 2 ชาติมหาอำนาจ ดังนั้นควรวางตัวอย่างไร อย่างแรกตามตำราของต่างประเทศ มีคำว่า “ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร” จะจีนหรือสหรัฐฯ ก็คบเท่าที่ได้ประโยชน์ มองผลประโยชน์แห่งชาติเป็นหลัก ขณะที่ตำราไทยมีคำว่า “อย่าเลือกข้างโดยไม่จำเป็น” แต่ก็ยอมรับว่าทำได้ยากในปัจจุบันชาติต่างๆ รู้หมดแล้วจึงพยายามบีบกันใหญ่
“เมื่อโดนบีบแล้ว อย่างนั้นก็ต้องยังไม่เลือกข้างแต่ว่าไม่ลู่ลมเพราะเดี๋ยวรากโคนจะล้มหมด ก็เอาเป็นว่าเราเข้าไปประกบแต่ละขั้ว อย่างเช่น เวียดนาม ตุรกี อินเดียทำเข้าไปประกบแล้วดูว่าเราจะต่างตอบแทนแลกผลประโยชน์อย่างไร ถ้าจะให้เราซื้อของมากขึ้นคุณก็ต้องมาช่วยตรงนี้เรา อันนี้ต้องประกอบทีมใหม่แล้วก็ส่งเข้าไปเจรจาปรับสมดุลขึ้นไปใหม่ อยู่เฉยๆ ไม่ได้”
หมายเหตุ : สามารถรับชมรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ดำเนินรายการโดย บุญระดม จิตรดอน ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันอังคาร-พฤหัสบดี เวลา 11.00-12.00 น. โดยประมาณ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี