สัปดาห์ที่ผ่านมา การเดินสายทัวร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ผู้นำจีน ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดในฐานะเวทีกระชับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจเพื่อรับมือกับสงครามการค้า
สี จิ้นผิง เดินทางสายเยือน 3 ชาติประชาคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ 3 ประเทศ คือเวียดนาม มาลเซีย และกัมพูชา เป็นการเยือนที่เกิดขึ้นได้ถูกจังหวะพอดี สำหรับผู้นำจีนที่ต้องการแสดงให้โลกเห็นว่า จีนเปิดกว้างทางการค้าแตกต่างจากท่าทีของสหรัฐฯ อย่างชัดเจน
นับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศตั้งกำแพงภาษีตอบโต้ทั่วโลก จีนก็ออกมามีบทบาทนำในการแสดงจุดยืนสนับสนุนระบบการค้าเสรี และชวนนานาประเทศให้ร่วมกัน รับมือกับความผันผวนและความไม่แน่นอน ที่สหรัฐฯ เป็นผู้ก่อขึ้น ซึ่งรวมถึงในเวทีอาเซียนด้วย
ระหว่างการเยือนเวียดนามเป็นปรเะเทศแรก สี จิ้นผิง ได้พบปะหารือกับ เลือง เกื่อง ประธานาธิบดีเวียดนาม โดยกล่าวกระตุ้นจีนและเวียดนามร่วมต่อต้านการเมืองเชิงอำนาจและการกระทำการเพียงฝ่ายเดียว สี จิ้นผิง กล่าวว่า สงครามการค้าจะบ่อนทำลายระบบการค้าระหว่างประเทศ เสถียรภาพของระเบียบเศรษฐกิจโลกและผลประโยชน์อันชอบธรรมตามกฎหมายของทุกประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา พร้อมเรียกร้องจีนและเวียดนามรับมือกับความไม่แน่นอนจากภายนอกด้วยความร่วมมือฉันมิตรและจุดแข็งของสังคมนิยม
การเยือนเวียดนามของผู้นำจีนเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นครั้งที่ 4 แล้วในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเวียดนามถือเป็นฐานการผลิตสำคัญของบริษัทจีน รวมทั้งเป็นทางผ่านในการส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษีด้วย การเยือนในรอบนี้ จึงไม่ต่างอะไรกับการให้คำมั่นว่า จีนจะยังคงร่วมมือกับเวียดนามในช่วงจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์
ตามด้วยการเยือนมาเลเซีย สี จิ้นผิง ได้พบปะกับอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และกล่าวว่าความสัมพันธ์จีน-มาเลเซียกำลังก้าวสู่ยุคทองรอบใหม่ เขาพร้อมจะทำงานร่วมกับอันวาร์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาประชาคมจีน-มาเลเซีย ที่มีอนาคตร่วมกันในเชิงยุทธศาสตร์ระดับสูง รวมถึงมีส่วนสนับสนุนความเจริญรุ่งเรืองและเสถียรภาพในภูมิภาค
สี จิ้นผิง ระบุด้วยว่า จีนและมาเลเซียจะยืนเคียงข้างประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค เพื่อต่อสู้กับนโยบายปกป้องทางการค้า การดำเนินมาตรการต่าง ๆ แต่เพียงฝ่ายเดียว และการเผชิญหน้าที่แบ่งขั้ว-เลือกข้าง ผู้นำจีนยังประกาศด้วยว่า จะร่วมกันปกป้องอนาคตที่รุ่งโรจน์ของครอบครัวเอเชีย
ขณะที่ผู้นำมาเลเซีย ระบุว่า จีนเป็นหุ้นส่วนที่มีเหตุมีผล แข็งแกร่งและพึ่งพาได้ ท่ามกลางความวุ่นวายโกลาหลจากกำแพงภาษี พร้อมทั้งระบุว่า มาเลเซียจะยังคงเป็นเพื่อนกับจีนไม่เปลี่ยนแปลง
ระหว่างการพบปะหารือกับสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุนเซน หัวหน้าพรรคประชาชนกัมพูชาและประธานวุฒิสภากัมพูชา ณ กรุงพนมเปญของกัมพูชา สี จิ้นผิง กล่าวว่า เอกภาพนิยมหรือการกระทำเพียงฝ่ายเดียว และการครองอำนาจนำนั้นไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน
สี จิ้นผิง กล่าวว่า ประวัติศาสตร์สะท้อนให้เห็นแนวโน้มที่ไม่อาจหยุดยั้งในการมุ่งหน้าสู่โลกหลายขั้ว โลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ ตลอดจนความหลากหลายทางวัฒนธรรม และไม่มีประเทศใดต้องการหวนกลับคืนสู่การแยกตัวโดดเดี่ยว
สี จิ้นผิง เผยว่าสงครามการค้าทำลายระบบการค้าพหุภาคีและส่งผลกระทบต่อระเบียบเศรษฐกิจโลก พร้อมเรียกร้องให้ทุกประเทศรวมกันเป็นหนึ่งและกำกับดูแลความมั่นคงระดับชาติและการพัฒนาของประเทศตนอย่างมั่นคง ยึดมั่นการเคารพซึ่งกันและกัน แสวงหาความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายและการพัฒนาร่วมกัน และร่วมทำงานเพื่อสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันของมนุษยชาติ
รัฐบาลจีนได้เตรียมการมานานแล้วสำหรับการเดินทางเยือน 3 ประเทศ เป็นภารกิจในต่างประเทศ ของ สี จิ้นผิง ครั้งแรกในปีนี้ แต่ประจวบเหมาะกับการประกาศสงครามการค้ารอบใหม่ของทรัมป์
หากจับประเด็นเนื้อหาที่ สี จิ้นผิง พูดกับผู้นำทั้ง 3 ประเทศที่ไปเยือนรอบนี้ จะพบว่ามีเนื้อหาใกล้เคียงกัน นั่นคือ การบอกว่า จีนเป็นเพื่อนที่พึ่งพาได้ เชื่อถือได้ ไม่ข่มเหงรังแก และยังปกป้องโลกการค้าเสรีด้วย ซึ่งภาพลักษณ์เหล่านี้สวนทางกับบทบาทของรัฐบาลทรัมป์อย่างสิ้นเชิง ซึ่งนี่อาจจะส่งผลกระทบต่ออิทธิพลของสหรัฐฯ ในระยะยาวก็เป็นได้
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตสินค้าหลายประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากรัฐบาลทรัมป์ 1.0 เปิดศึกทางการค้ากับจีนเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ก็ทำให้บริษัทจากทั่วโลกจำนวนไม่น้อยย้ายฐานการผลิตมาที่ภูมิภาคนี้เพื่อผลิตและส่งออก ดังนั้น อาเซียนจึงเจอกับกำแพงภาษีสหรัฐฯ สูงลิบ ตั้งแต่ 10% ไปจนถึง 49% สำหรับกัมพูชา
ในขณะที่อาเซียนส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ มูลค่ารวมหลายแสนล้านดอลลาร์ แต่ก็นำเข้าสินค้าจีนก้อนโตเช่นกัน โดยเมื่อปีที่แล้ว อาเซียนยังคงครองแชมป์นำเข้าสินค้าจีนสูงที่สุดในโลก ซึ่ง 5 ประเทศนี้ คือ 5 อันดับแรกที่นำเข้าสูงสุดในภูมิภาค เริ่มตั้งแต่ เวียดนาม มาเลเซีย ไทย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย โดยเฉพาะเวียดนาม ซึ่งจีนให้ความสำคัญมากทีเดียว
การจัดทำเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2002 ซึ่งนำมาสู่การยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับจีน ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน โดยปัจจุบัน มีความพยายามในการปรับปรุงข้อตกลงให้ทันสมัยและสอดรับกับความเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะเน้นที่การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล พัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว ปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน และแก้ไขอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี
การเดินทางเยือนสามประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ครั้งนี้ จึงถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของจีนด้านนโยบายต่างประเทศ ที่เรียกว่า ‘ยุทธศาสตร์โปรยเสน่ห์’ ที่ทำให้หลายประเทศรู้สึกประทับใจจีนมากขึ้น และที่สำคัญในช่วงเวลาที่หลายประเทศกำลังจะไปเจรจาข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ การที่เวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา เพิ่งจะต้อนรับการมาเยือนของ สี จิ้นผิง จะทำให้สามประเทศนี้มีข้อได้เปรียบในการไปต่อรองกับสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น เพราะมีจีนเป็นทางเลือกในการทำการค้าแทนที่สหรัฐฯ
โดย ดาโน โทนาลี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี