(ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว)
ข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ
โดยได้พิจารณาศึกษาสถานการณ์ ปัญหา และอุปสรรคแนวทางการจัดบริการสำหรับคนพิการทางจิตสังคมที่เหมาะสมในประเทศไทยตามหลักการของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ โดยมีข้อเสนอแนะ ๔ ด้าน ดังนี้
๑.ด้านกฎหมาย
๑) รัฐควรดำเนินการแก้ไขตัวบทกฎหมายต่างๆให้สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ (Legal Harmonization) โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบัญญัติว่าด้วยความสามารถทางกฎหมายของบุคคลตามประมวลกฎหมาย ทั้งนี้ มีการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในลักษณะดังกล่าวแล้วในประเทศเปรู
๒) รัฐควรกำหนดมาตรฐานการให้บริการสำหรับผู้ป่วยหรือคนพิการทางจิตสังคมเพื่อให้บริการทั้งของรัฐและเอกชนสอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ โดยคำนึงถึงหลักความสามารถทางกฎหมาย (Legal Capacity)เจตนารมณ์และความประสงค์ของบุคคล (Will andPreferences) ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจโดยได้รับการสนับสนุน (Supported Decision-Making) มากกว่าการให้ผู้อื่นตัดสินใจแทนโดยสิ้นเชิง (Substituted Decision-Making)
๓) รัฐควรดำเนินการเผยแพร่ความรู้เรื่องอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ รวมถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตคนพิการด้านต่างๆ เช่น การศึกษา การจ้างงานและการประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงในสังคมให้แก่เจ้าพนักงานคนพิการ ผู้ดูแล และชุมชน ในรูปแบบและภาษาที่เข้าถึงได้โดยสะดวกและเข้าใจได้ง่าย
๔) รัฐควรเสริมสร้างและสนับสนุนกลุ่มคนและองค์กรด้านคนพิการที่มีความเข้มแข็งในการติดตามการดำเนินงานตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ
๕) รัฐควรปรับปรุงกฎหมายสุขภาพให้ครอบคลุมทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต โดยไม่ควรแยกส่วนจากกัน โดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคล มากกว่าการมุ่งที่จะรักษาเฉพาะจุดหรือส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นสำคัญ และควรกำกับดูแลการตรากฎหมายทุกฉบับเพื่อประเมินผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตคนพิการด้วย
๒.ด้านสาธารณสุข
๑) รัฐควรเปลี่ยนกระบวนทัศน์(Paradigm Shift) แนวทางการให้บริการคนพิการทางจิตสังคมในประเทศไทย โดยใช้แนวทางที่เน้นการคืนสู่สุขภาวะ (Recovery OrientedService) เพื่อปรับบริการสำหรับคนพิการทางจิตสังคมของประเทศไทยให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนมากขึ้น มุ่งเน้นให้คนพิการทางจิตสังคมได้ค้นพบศักยภาพของตัวเอง กลับมามีชีวิตที่เป็นสุข มีความหมาย โดยการรักษาจะไม่เพียงใช้ยา แต่จะเป็นการฟื้นฟูรอบด้านทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ เน้นการมีส่วนร่วมในเส้นทางสู่สุขภาวะของตัวเอง ได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ลงมือทำ และรับผิดชอบในชีวิตของตัวเอง
๒) รัฐควรมุ่งเน้นแนวทางการให้บริการคนพิการทางจิตสังคมโดยชุมชนเป็นฐานสำคัญในการให้บริการและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการทางจิตสังคม โดยสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในการออกแบบระบบการดูแล ให้สอดคล้องกับปัญหาและความต้องการของคนพิการทางจิตสังคม
๓) รัฐควรนำแนวคิดเพื่อนช่วยเพื่อน (Peer Support)มาใช้อย่างถูกต้องและเต็มประสิทธิภาพ ตามที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ เพื่อให้ผู้มีประสบการณ์ตรงหรือผู้ดูแลได้เข้ามามีส่วนการสนับสนุนการตัดสินใจของคนพิการในการเลือกวิธีการบำบัดรักษา
๔) รัฐควรพัฒนากลไกสนับสนุนการให้บริการคนพิการทางจิตสังคม ดังนี้ (๑) พัฒนาองค์ความรู้ด้านการให้บริการคนพิการทางจิตสังคม สำหรับบุคลากรระดับปฐมภูมิ และสุขภาพจิตศึกษาสำหรับคนพิการทางจิตสังคมและกลุ่มคนที่มีปัญหาทางสุขภาพจิต รวมถึงสมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนที่ประสบปัญหาทางสุขภาพจิตเป็นครั้งแรก
(๒) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่และมีประสิทธิผล (Full & Effective Participation) ของคนพิการทางจิตสังคมผ่านองค์กรของคนพิการในการกำหนดนโยบาย การทำแผน การดำเนินงาน การกำกับดูแลติดตามการดำเนินงานขององค์กรหรือหน่วยงานด้านสุขภาพจิตทุกระดับ
(๓) ศึกษาความคุ้มทุนด้านงบประมาณในการบำบัดรักษา โดยคำนึงถึงปัจจัยอย่างรอบด้าน ซึ่งควรรวมถึงการสูญเสียวันทำงานของคนพิการทางจิตสังคมและผู้ดูแล ผลกระทบทางจิตใจของคนในสังคม ไม่เพียงแค่ยาหรือค่ารักษาพยาบาลเท่านั้น
๓.ด้านการศึกษา
๑) การศึกษาในระบบ : รัฐควรจัดให้นักเรียน นักศึกษา เด็กและเยาวชนมีประสบการณ์เชิงบวกกับคนพิการทางจิตสังคมหรือผู้มีปัญหาทางสุขภาพจิต เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจการอยู่ร่วมกัน รวมทั้งส่งเสริมการจัดตั้งชมรมในสถานศึกษา เพื่อดูแลและป้องกันปัจจัยเสี่ยงในการเกิดปัญหาสุขภาพจิต เช่น การรังแก การเสพติด และความเครียด เป็นต้น
๒)การศึกษานอกระบบ : รัฐควรส่งเสริมการศึกษาเพื่อกลุ่มคนพิการทางจิตสังคมหรือกลุ่มคนเปราะบาง เพื่อให้คนพิการทางจิตสังคมได้นำประสบการณ์มาร่วมพูดคุยเรียนรู้และตัดสินใจวิธีแก้ปัญหาด้วยตนเอง เน้นการเสริมสร้างพลังสุขภาพจิตศึกษา ทักษะชีวิต โดยกำหนดแนวทางการสนับสนุนด้านการศึกษา การทำงาน และการดำเนินการจัดตั้งกลไกการเผยแพร่การศึกษาเหล่านี้ให้เข้าถึงชุมชนทั่วไป
๔.ด้านการสร้างความตระหนักรู้
๑) รัฐควรรณรงค์ส่งเสริมให้สื่อดั้งเดิมและสื่อออนไลน์นำเสนอข่าว สาระ สาระบันเทิง และการบันเทิงทั่วไป ให้นำเสนอประเด็นด้านสุขภาพจิตและคนพิการทางจิตสังคมอย่างสร้างสรรค์
๒) รัฐควรสร้างสื่อคุณภาพและรณรงค์ในวงกว้างผ่านสื่อต่าง ๆ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ ความเข้าใจ และส่งเสริมสิทธิมนุษยชนของคนพิการด้านจิตสังคม
ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ที่กลุ่มงานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส สำนักกรรมาธิการ ๓สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา โทร. ๐-๒๘๓๑๙๒๒๕-๖ โทรสาร ๐-๒๘๓๑๙๒๒๖
สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ถนนอู่ทองใน ดุสิต กทม. 10300 email : dek_senate@hotmail.co.th หรือ Facebook: กมธ.พัฒนาสังคม หรือ กลุ่มงานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็กฯ วุฒิสภา โทร.02-831-9225-6 แฟกซ์ 02-831-9226
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี