“การส่งทหารเข้าไปในโดเนตสก์และลูฮันสก์ เป็นไปตามสิ่งที่เราให้สัญญากับผู้นำของทั้งสองแคว้นนี้ไว้ ว่ารัสเซียจะส่งทหารไปที่นั่นถ้าจำเป็น เพื่อปกป้องพลเมืองในพื้นที่ดังกล่าว ให้พ้นจากการถูกสังหาร หลังจากรัฐบาลยูเครนละเมิดข้อตกลงมินสก์ ซึ่งเป็นข้อตกลงหยุดยิง ดังนั้น ข้อตกลงสันติภาพมินสก์ที่รัสเซียกับยูเครนลงนามไว้เมื่อปี 2014 และ 2015 หลังจากนี้จะไม่มีผลอีกต่อไปแล้ว”
นี่เป็นข้อความล่าสุดของประธานาธิบดี “วลาดีมีร์ ปูติน” แห่งรัสเซีย หลังจากตัวเขาเองได้เซ็นรับรองเอกราชให้แก่แคว้นโดเนตสก์ และแคว้นลูฮันสก์ ในภูมิภาคดอนบาส(ยูเครนตะวันออก) และทาง “สภาดูมา”ซึ่งเป็นรัฐสภาของรัสเซีย ก็ได้มีมติเอกฉันท์รับรองความต้องการดังกล่าวนั้นด้วย พร้อมการผ่านมติให้อำนาจเต็มแก่ประธานาธิบดีปูติน ในการส่งกองทัพออกไปปฏิบัติการนอกประเทศ ด้วยเหตุผลของการรักษาสันติภาพในพื้นที่พิพาท ตามการกล่าวอ้างของ “คอนสแตนติน โคราเชฟ” ประธานรัฐสภาของรัสเซีย
ย้อนให้หลังไปในปี 2014ปัญหาดังกล่าวนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ “วิกเตอร์ยานูโควิช” อดีตประธานาธิบดีแห่งยูเครน ถูกต่อต้านจากประชาชน ด้วยการประท้วงครั้งใหญ่ ทำให้ต้องหลุดออกจากตำแหน่ง ว่ากันว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้อดีตประธานาธิบดีคนดังกล่าวหมดอำนาจลง นั่นเพราะตัวเขาเองมีรัสเซียให้ความสนับสนุนทางการเมืองอย่างเปิดเผย จนทำให้อีกขั้วอำนาจหนึ่งของยูเครน และตะวันตก (กลุ่มนาโต และสหรัฐ) ต้องปลดอำนาจตรงนี้ออกไปจากยูเครน และสถาปนาอำนาจใหม่ ที่มีความเป็นอิสระจากรัสเซีย
แน่นอนว่า “เครมลินแห่งมอสโก” ได้ตอบโต้ด้วยการเข้ายึด “คาบสมุทรไครเมีย” ของยูเครนในทันที พร้อมด้วยการเกิดกลุ่มแบกแยกดินแดน หรือกองกำลังติดอาวุธ ซึ่งเป็นชาวยูเครนแต่มีความฝักใฝ่รัสเซียบนพื้นที่ในภูมิภาคดอนบาส หรือยูเครนตะวันออก หลังจากนั้น ความรุนแรงในพื้นที่ตรงนั้นก็เกิดขึ้น มีการปะทะกันอย่างต่อเนื่องด้วยอาวุธหนัก เพื่อเข้ายึดครองสถานที่สำคัญต่างๆ ของแคว้นโดเนตสก์ และแคว้นลูฮันสก์ จนถึงขนาดประกาศตัวเป็น “สาธารณรัฐประชาชน” เพื่อต่อสู้กับทางการยูเครน และกองทัพอย่างเข้มข้น จนมีผู้เสียชีวิตกว่าหมื่นราย และบาดเจ็บอีกมหาศาล จากนั้นก็ได้มีการทำประชามติของประชาชน เพื่อรวมชาติเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับรัสเซียตามเจตนารมณ์ แต่ทางการรัสเซียก็ไม่ได้เคลื่อนไหวตอบรับ หรือปฏิเสธในเรื่องนี้แต่รัฐบาลยูเครนได้กล่าวหาว่า การเติบโตของกองกำลังดังกล่าวนั้น มาจากรัสเซียให้การหนุนหลัง และเป็นเกมการเมืองของประธานาธิบดีปูติน ในการขัดขวางยูเครนไม่ให้เข้าร่วมกับกลุ่มของนาโตนั่นเพราะความขัดแย้งที่ปรากฏอยู่ในพื้นที่ดอนบาส เป็นเงื่อนไขต้องห้ามในการรับประเทศใดก็ตามเข้ามาในกลุ่มของนาโต (ที่สำคัญ รัสเซียได้แจกหนังสือเดินทางรัสเซียมากกว่า 7.2 แสนฉบับ แก่ประชากรของกลุ่มแบ่งแยกดินแดน ที่มีประมาณ 3.6 ล้านคน ให้เข้าออกรัสเซียได้อย่างสะดวก แถมยังได้ให้ความช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจ และการเงิน รวมไปถึงการสาธารณสุขอย่างเต็มกำลัง ส่วนเรื่องกำลังอาวุธก็คงไม่น่าพลาด)
แม้ว่าจะมีการเผชิญหน้า และปะทะกันด้วยอาวุธมาโดยตลอดจวบจนปัจจุบัน สำหรับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่ฝักใฝ่รัสเซีย กับกองทัพยูเครน และอาสาสมัครรักษาดินแดน แต่ก็มีความพยายามสร้างสันติภาพในพื้นที่ตรงนั้นมาอย่างต่อเนื่อง ตกลงกันได้บ้าง ฉีกข้อตกลงแล้วกลับมารบกันต่อบ้าง เรียกได้ว่า ความรุนแรงตรงพื้นที่ตรงนั้นยากที่จะจัดการให้คลี่คลายได้อย่างราบรื่น นั่นหมายความว่า การมี“ข้อตกลงกรุงมินสก์” เป็นได้แค่การบรรเทาไฟให้เบาบางลงเท่านั้น แต่ความเดือดดาลจากทั้งสองฝั่งยังคงดำเนินอยู่ต่อไป จนทวีคูณขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากการที่ยูเครนจะตัดสินใจเข้าร่วมเป็นสมาชิกในกลุ่มนาโต หรือองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ ซึ่งประกอบไปด้วยหลายชาติในยุโรป และสหรัฐอเมริกา ที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรกับทางรัสเซียมากนัก และนั่นทำให้รัสเซียตีความได้ว่า การที่นาโตให้ยูเครนเข้าร่วม ย่อมหมายถึงสนธิสัญญาที่จะนำทหารของกลุ่มประเทศในนาโตมาประจำการอยู่ที่ยูเครนได้อย่างเต็มกำลัง ซึ่งย่อมไม่เป็นผลดีต่อรัสเซียที่มีทหารของขั้วตรงข้ามทางการเมืองระดับโลกล้อมประเทศของตัวเองอยู่เช่นนี้ หลังจากที่มีเกิดขึ้นในเอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย และโปแลนด์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ถึงตรงนี้ การที่นักวิเคราะห์การเมืองระหว่างประเทศหลายๆ คนมองว่า เป็นแค่เกมการเมืองของปูติน ที่จะไปจบลงที่โต๊ะเจรจานั้น อาจไม่แน่นอนเสมอไปแล้ว หลังการมอบเอกราชให้กับสองแคว้นในพื้นที่พิพาท และการอนุมัติกำลังทหารบุกเข้าไปในยูเครน โดยใช้พื้นที่ดังกล่าวเป็นข้ออ้าง ยิ่งในแถลงการณ์ของปูติน ที่ระบุว่า การโค่นล้มอดีตประธานาธิบดียานูโควิชแห่งยูเครนโดยไม่มีหลักฐานตามที่กล่าวอ้างว่ามีการคอร์รัปชั่นนั้น เป็นการก่อรัฐประหารและยูเครนในตอนนี้ ได้ถูกควบคุมจากภายนอกไปเสียแล้ว ที่สำคัญปูตินยังกล่าวหานาโต และสหรัฐ ว่ากำลังทำให้ยูเครนกลายเป็นพื้นที่ของสงคราม ถ้ายังเพิกเฉยต่อความกังวลในด้านความปลอดภัยของรัสเซีย และยังดื้อดึงที่จะเอายูเครนเข้าเป็นสมาชิกนาโต ซึ่งจะไปสร้างโอกาสที่รัสเซียจะถูกโจมตีจากภายนอกได้มากขึ้น
“สำหรับผู้ที่ยึด และครองอำนาจในกรุงเคียฟ เราขอเรียกร้องให้หยุดความเป็นศัตรูในทันที มิเช่นนั้น ความรับผิดชอบทุกอย่างของการนองเลือดที่อาจเกิดขึ้นต่อไป จะตกอยู่กับรัฐบาลผู้ปกครองดินแดนทั้งหมด การประกาศการตัดสินใจที่เกิดขึ้นในวันนี้ (การให้เอกราชต่อ 2 แคว้น) ผมมั่นใจว่า จะได้รับการสนับสนุนจากพลเรือนยูเครนและจากกองกำลังผู้รักชาติทั้งหมดในประเทศ”
แน่นอนว่า สารจากปูตินย่อมทำให้ขั้วตรงข้ามทางการเมือง “หัวร้อน”ไปตามๆ กัน และแต่ละประเทศก็เริ่มที่จะทยอยออกมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียออกมา เพื่อถล่มการเติบโตทางเศรษฐกิจของรัสเซียที่มีปัญหาอยู่แล้วก่อนหน้านี้ให้หนักหนาสาหัสลงไปกว่าเดิมรวมไปถึงการปฏิเสธความร่วมมือในด้านอื่นๆ พร้อมให้ความสนับสนุนในเรื่องเงินทุน และอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างเต็มที่ ต่อรัฐบาล และกองทัพยูเครน โดยเฉพาะกองกำลังทหารจากสหรัฐ และกลุ่มของนาโต ที่มีการเข้าไปประจำอยู่ในพื้นที่ของประเทศที่มีชายแดนอยู่ในพื้นที่พิพาทอย่างเต็มกำลังแล้ว
กระนั้น ทางรัสเซียก็ไม่ใช่หัวเดียวกระเทียมลีบ เพราะทั้ง “เบลารุส” ที่ซ้อมรบกันตูมตามขู่ยูเครนอยู่ในทุกวัน รวมไปถึงเวเนซุเอลา และซีเรีย ก็พร้อมเข้าร่วมศึกนี้เคียงข้างรัสเซียอย่างเต็มกำลังเช่นกัน
“ขอให้ทุกฝ่ายยับยั้งชั่งใจ และใช้แนวทางการทูต ในการแก้ปัญหาความขัดแย้งนี้” และนี่เป็นความเห็นล่าสุดของพญามังกร ที่หลายคนมองว่า จีนอาจจะเป็นโซ่ข้อกลางได้ในความขัดแย้งของโลกครั้งนี้
...โดยที่เสียงระเบิดจากรัสเซีย ได้ดังขึ้นแล้วที่ยูเครน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี