1.ทำไมเด็กน้อยกะพริบตาบ่อย
l การกะพริบตาคืออะไร สำคัญอย่างไร?
-การกะพริบตาเป็นกลไกปกติที่ธรรมชาติให้มา เพื่อให้เปลือกตาช่วยเกลี่ยน้ำตาให้กระจายทั่วพื้นผิวลูกตา
-พื้นผิวลูกตาคือส่วนด้านหน้าของตาที่กระทบสิ่งแวดล้อมภายนอก ประกอบไปด้วย ผิวกระจกตาดำ เยื่อบุคลุมตาขาวเปลือกตาในบนและล่าง
-โดยทั่วไปคนเรามีต่อมผลิตน้ำตาบริเวณเปลือกตาบน และบางส่วนผลิตที่ขอบตา
-การกะพริบตา เป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติของร่างกายป้องกันอันตรายจากภายนอกปกติกะพริบตา 15-20 ครั้งต่อนาที แต่ถ้าเด็กเล็กจะมีจำนวนครั้งที่กะพริบต่อนาทีน้อยกว่านี้ได้
เด็กน้อยกะพริบตาบ่อยกว่าปกติ เกิดได้จาก 4 สาเหตุหลักๆ
1.พื้นผิวตาเด็กมีปัญหา : l จากภาวะภูมิแพ้ทำให้เยื่อตาอักเสบ l สิ่งแปลกปลอมเข้าร่องตา เกิดความระคายเคืองจนทำให้กะพริบตาบ่อยได้ l ภาวะตาแห้ง : ขนตาเกเป็นอีกหนึ่งภาวะทำให้เกิดตาแห้งได้ นำไปสู่กระจกตาอักเสบ เด็กจึงกะพริบตาบ่อยปัจจุบันการเรียนออนไลน์ จ้องหน้าจอทั้งวัน รวมถึงเด็กติดไอแพดเวลาทานอาหารต้องนั่งดูไปด้วยทำให้อัตราการกะพริบตาต่อนาทีของเด็กน้อยลง นำไปสู่ภาวะตาแห้งได้เช่นกัน
2.โรคตาเขออกเป็นบางเวลา : โรคนี้ทำให้เด็กอาจมองเห็นภาพซ้อน ดังนั้นร่างกายจึงปรับตัวด้วยการหลับตาข้างหนึ่ง เพื่อให้มองเห็นได้ดีขึ้น จึงดูเหมือนกะพริบตา
3.ภาวะสายตาผิดปกติ (สายตาสั้น ยาว เอียง) : เด็กจะมองเห็นที่ไกลไม่ชัด จึงหยีตา ขมวดคิ้ว เพื่อให้เห็นชัดขึ้น(pinhole effect: มองผ่านรูเล็กๆแล้วมองเห็นชัดขึ้น) จึงดูเหมือนกะพริบตา
4.Tics disorder : เป็นภาวะที่พบบ่อย 20% ของเด็กกะพริบตาบ่อยเกิดจากสาเหตุนี้ ส่วนใหญ่พบในเด็กโต 6-7 ขวบ พบในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิง ไม่ใช่สาเหตุโรคทางตาโดยตรง เป็นโรคที่เกิดจากจิตใต้สำนึก กังวลและเครียดจากสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นเด็ก ทั้งเครียดจากการเรียน จากครอบครัว ความคาดหวังที่มากเกินไป จนเกิดการกระตุกของกล้ามเนื้อเล็กๆ ความรุนแรงของโรคสัมพันธ์กับความเครียดที่มากขึ้น
** ส่วนใหญ่ที่จักษุแพทย์เด็กเจอ จะเป็นโรคภูมิแพ้และ tics
หากพบว่าลูกน้อยกะพริบตาบ่อยผู้ปกครองควรทำอย่างไร?
l พบจักษุแพทย์ หรือจักษุแพทย์เด็ก เพื่อหาสาเหตุไม่ต้องกังวลเรื่องอายุของเด็ก จักษุแพทย์สามารถตรวจได้ทุกช่วงวัยเนื่องจากมีเครื่องมือที่ทันสมัย และมีเทคนิครับมือกับเด็กน้อยถ้ามีอาการตามัว ขี้ตามาก ตาแดง ต้องให้ความสำคัญและมาพบแพทย์ให้เร็ว เนื่องจากจะยิ่งทำให้ตาอักเสบมากขึ้นได้หากมาช้า และอธิบายให้ลูกน้อยฟังว่ามาหาแพทย์จะต้องตรวจอะไรบ้างเพื่อให้เด็กได้รับรู้ และเตรียมตัวให้ความร่วมมือมากขึ้น
l ก่อนมาพบจักษุแพทย์ทำอย่างไรได้บ้าง?
หยุดกิจกรรมต่างๆ ที่อาจทำให้เด็กตาแห้ง ให้เด็กพักสายตา 5-10 นาที
ถ้าเด็กคันตา ห้ามขยี้ตา เพราะจะทำให้ตาอักเสบมากขึ้น ให้ใช้การประคบเย็นแทน
ถ้าสงสัยว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้าตาเด็ก ห้ามเป่าตา หรือเขี่ยออก อาจเกิดการติดเชื้อและบาดเจ็บมากขึ้นได้
เมื่อมาพบจักษุแพทย์แล้ว จักษุแพทย์จะตรวจอะไรบ้าง?
l วัดประเมินความสามารถทางการมองเห็น ว่ามีสายตาสั้น ยาว เอียง หรือไม่
หยอดขยายรูม่านตา เพื่อลดภาวะเพ่ง อาจจะแสบตาบ้างหลังทำ แต่จะหายใน 5-10 วินาที
ใช้กล้อง slit lamp ส่องดูพื้นผิวตาเด็กว่าเรียบดีไหม
ดูกล้ามเนื้อการกลอกตา จักษุแพทย์จะมีเทคนิค มีของเล่นให้เด็กสนใจ ให้ความร่วมมือ
หากปกติทุกอย่าง จิตแพทย์จะสังเกตพฤติกรรมเด็ก เพื่อดูว่าอาจเป็น tics ได้หรือไม่ โดยสังเกตช่วงเวลาที่เด็กกำลังตั้งใจฟังแพทย์ หากกะพริบตาน้อยลง จากมีความสนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากขึ้น (attention) อาจเป็น tics ได้
*การตรวจตาในเด็กต้องอาศัยความร่วมมือของเด็กattention ของเด็กพอสมควร
ผู้ปกครองอาจสังเกตได้ว่าจักษุแพทย์เด็กตรวจตาเด็กค่อนข้างเร็ว เนื่องจากว่า ถ้าตรวจช้าอาจจะไม่ทันเห็นการเปลี่ยนแปลงการกลอกตา
รักษาได้ตาม 4 สาเหตุหลักดังนี้...
l พื้นผิวตาเด็กมีปัญหา :
- จากภาวะภูมิแพ้ทำให้เยื่อตาอักเสบ : หยอดยาแก้แพ้ และน้ำตาเทียมตามที่แพทย์สั่ง ประคบเย็นร่วมด้วย หากเป็นภาวะภูมิแพ้จากหลายระบบ จะดูแลรักษาแบบ systemic ปรึกษาแพทย์เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้ หรือกุมารแพทย์เพิ่มเติม
- สิ่งแปลกปลอมเข้าร่องตา : แพทย์จะเอาออกให้
- ภาวะตาแห้ง : หยอดน้ำตาเทียม 4 ครั้งต่อวัน
l โรคตาเขออกเป็นบางเวลา : รักษาแต่เนิ่นๆ จะทำให้การมองเห็นภาพสามมิติกลับมาได้ ถ้าปล่อยไว้อาจทำให้การมองภาพสามมิติมีปัญหา
l ภาวะสายตาผิดปกติ (สายตาสั้น ยาว เอียง) : ตัดแว่นสายตาช่วยเรื่องการมองเห็น จักษุแพทย์จะดูภาวะสายตาขี้เกียจร่วมด้วย ถ้ามีต้องให้การรักษา
l Tics disorder : Psychosocial therapy (ร่างกาย จิตใจ ครอบครัว สังคม) เน้นรักษาจิตใจของเด็ก ให้ความอบอุ่นอาจให้เด็กนอนหนุนตักแล้วผู้ปกครองลูบหัวให้ความอบอุ่นแก่เด็ก อ่านนิทานก่อนนอนให้ฟัง ลดความเครียดอย่าทักหรือว่าเด็กเรื่องกะพริบตาบ่อย ส่วนมากอาการจะดีขึ้นได้เอง
ป้องกันได้ตาม 4 สาเหตุหลักดังนี้...
l พื้นผิวตาเด็กมีปัญหา :
- จากภาวะภูมิแพ้ทำให้เยื่อตาอักเสบ : หาสิ่งที่แพ้ให้เจอแล้วหลีกเลี่ยง เช่น แพ้ขนสัตว์ แพ้น้ำยาปรับผ้านุ่ม ดังนั้นผู้ปกครองต้องมีความช่างสังเกต
- สิ่งแปลกปลอมเข้าร่องตา : ไม่ได้มีวิธีป้องกันอะไรเป็นพิเศษ หากถ้าเกิดเหตุแล้วให้รีบพามาพบแพทย์
- ภาวะตาแห้ง : ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเด็กพักสายตาบ่อยๆ ทุกครึ่งชั่วโมง เวลารับประทานอาหารไม่ให้เล่นมือถือไอแพด
l โรคตาเขออกเป็นบางเวลา : ไม่ได้มีวิธีป้องกันอะไรเป็นพิเศษ แต่หากสังเกตเห็นให้พามาพบจักษุแพทย์ เพื่อแก้ไขแต่เนิ่นๆ
l ภาวะสายตาผิดปกติ (สายตาสั้น ยาว เอียง) : ถนอมสายตา ให้พักสายตา ออกไปเดินสวนพื้นที่สีเขียวบ้าง
l Tics disorder : ดูแลลูกน้อยด้วยความอบอุ่น เข้าอกเข้าใจพูดคุยกับเด็ก
l l เรื่องน่ารู้ l l
การหยอดน้ำตาเทียมในเด็ก : อาจนำน้ำตาเทียมไปแช่เย็น เด็กจะชอบมากขึ้น หยอดเบื้องต้น 4 ครั้งต่อวัน ให้เด็กหลับตา แล้วหยอดน้ำตาเทียมบริเวณหัวตาเด็ก จากนั้นเปิดหัวตาเด็กเบาๆ ประมาณ 3 วินาทีน้ำตาเทียมจะสามารถฉาบลูกตาลงไปได้
บรรยายโดย อ.พญ.รัติยา พรชัยสุรีย์
ชมรมจักษุวิทยาเด็กและตาเข
เรียบเรียงโดย นศพ.ณิชารีย์ ศรีงาม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี