“...กระบวนการขายสโมสรจะเป็นไปตามกระบวนการ ไม่มีการเร่งรัด ผมจะไม่เรียกร้องให้สโมสรจ่ายเงินคืนในส่วนที่ได้กู้ยืมไป เพราะสำหรับผมแล้วมันไม่ใช่เรื่องธุรกิจ หรือการหาเงิน มันคือเรื่องของความรักอันบริสุทธิ์ที่มีต่อเกมฟุตบอล และสโมสรแห่งนี้ ยิ่งไปกว่านั้นผมยังได้ขอให้ทีมของผมช่วยจัดตั้งมูลนิธิการกุศล ที่จะนำเงินรายได้จากการขายสโมสรทั้งหมดไปบริจาค มูลนิธิแห่งนี้จะนำผลประโยชน์มอบให้แก่เหยื่อผู้ได้รับผลกระทบจากสงครามในยูเครน ซึ่งจะจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือฉุกเฉินสำหรับเหยื่อที่มีความจำเป็น รวมถึงสนับสนุนการฟื้นฟูในระยะยาว ได้โปรดเข้าใจว่า นี่เป็นการตัดสินใจที่ยากยิ่ง และเจ็บปวดสำหรับผม ที่จะต้องไปจากสโมสรแบบนี้ อย่างไรก็ดีผมเชื่อว่า นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับสโมสรแล้ว...”
นี่เป็นส่วนหนึ่งของแถลงการณ์จาก “โรมัน อบราโมวิช” เจ้าของทีมฟุตบอล “เชลซี” ทีมสโมสรจากประเทศอังกฤษ ที่มีชื่อเสียงในระดับโลก ภายหลังจากที่เศรษฐีชาวรัสเซียคนนี้ ได้เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสร แล้วยกระดับทีมขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด
แน่นอนว่า เขาคือ “ที่รัก” ของแฟนบอลเชลซี และนักบอลทุกคนในทีม ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน รวมไปถึงผู้จัดการทีม และพนักงานในทุกระดับ ให้ความเคารพ และชื่นชมในความรักฟุตบอลของชายคนนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งเมื่อบวกกับการลงทุนอันมหาศาลของเขาแล้ว ก็ทำให้ทีมสิงโตน้ำเงินคราม (ฉายาของทีมเชลซี) สามารถก้าวไปถึงในทุกความสำเร็จทั้งในระดับประเทศ ทวีป รวมไปถึงระดับโลก สำหรับช่วงเวลากว่า 2 ทศวรรษในการบริหารงานของเขา
แต่ชีวิตของอบราโมวิช ก็ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป เพราะความติดขัดเดียวของเขาก็คือ การเป็นเพื่อนกับ“วลาดีมีร์ ปูติน” ประธานาธิบดีแห่งรัสเซีย คู่ปรับตลอดการกับทางรัฐบาลสหรัฐอเมริกา และพันธมิตรในยุโรป รวมไปถึงการเป็นคนที่ออกคำสั่งให้กองทัพรัสเซียบุกพื้นที่ของ “ประเทศยูเครน” และนั่นตามมาซึ่งการเสียชีวิต และบาดเจ็บ ของทหาร และพลเมืองจากทั้งสองฝ่าย
อบราโมวิช ไม่ได้เดินทางเข้ามาดูเกมฟุตบอลที่สนามของเชลซีมานานแล้ว ยกเว้นนัดสำคัญๆ นั่นเพราะการออกวีซ่าของรัฐบาลอังกฤษค่อนข้างที่จะจำกัดความเคลื่อนไหวของเขา ในฐานะเพื่อนของปูติน และการตัดสินใจขายสโมสรที่ประสบความสำเร็จ ทั้งในแง่ธุรกิจ และความภาคภูมิใจของตนเอง ก็มาจากสิ่งที่เพื่อนคนนี้ได้กระทำไปเช่นเดียวกัน
ล่าสุด สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) และ สหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป (UEFA) ก็ได้ออกประกาศระงับการเข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลของสโมสรในรัสเซียรวมไปถึงทีมชาติรัสเซีย ในทุกๆ การแข่งขันจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง รวมไปถึงกีฬาอีกหลายชนิด ที่ยินดีให้นักกีฬารัสเซียสามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้ แต่มิให้มีการแสดงภาพธงชาติของรัสเซียไม่ว่าในกรณีใด นี่คือมาตรการที่วงการกีฬาแสดงออกต่อความพยายามของกองทัพรัสเซีย ในการเข้ายึดครองเมืองหลวงของยูเครน ด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ และการกดขี่ข่มเหง “ความเป็นเอกราช” ของประชาชนชาวยูเครนทุกคน
นอกจากนั้น ในเรื่องเงินๆ ทองๆ ก็อย่างที่ทราบกันดีว่า รัสเซียเพิ่งฟื้นมาจากการถูกโควิด-19 เล่นงาน จนระบบเศรษฐกิจของประเทศหยุดชะงัก ไม่ต่างจากหลายประเทศทั่วโลก แต่เมื่อโรคระบาดกำลังจะคลี่คลาย เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจกำลังกลับมาขับเคลื่อนอีกครั้ง เสียงระเบิดที่เกิดขึ้นในพื้นที่ของยูเครนจากคำสั่งอันเด็ดขาดของประธานาธิบดีปูติน ก็ทำให้ชาติพันธมิตรที่ไม่เห็นด้วยต่อการกระทำของปูติน เริ่มตอบโต้ด้วยการสร้างความปั่นป่วนทางการเงินให้แก่รัสเซีย
โดยการตัด “ธนาคารรัสเซีย” ออกจากการเชื่อมต่อกับระบบการเงินสากล และทำลายความสามารถของรัสเซียในการทำธุรกรรมทางการเงิน และการค้าระหว่างประเทศ รวมไปถึงการส่งออกน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ซึ่งถือเป็นรายได้หลักของรัสเซีย ด้วยการที่ สหรัฐอเมริกา พันธมิตรในทวีปยุโรปแคนาดา เกาหลีใต้ รวมไปถึงสวิตเซอร์แลนด์ขับธนาคารของรัสเซียออกจากระบบSWIFT ซึ่งเป็นเครือข่ายการโอนและชำระเงินระหว่างประเทศความปลอดภัยสูงที่เชื่อมต่อกับสถาบันการเงินทั่วโลกมากกว่า 11,000 แห่ง
นอกจากนั้น สหรัฐฯ และชาติพันธมิตร ทั้งในยุโรป และเอเชียได้ดำเนินการคว่ำบาตรธนาคาร บริษัท หน่วยงาน และกลุ่มชนชั้นนำของรัสเซียทั้งหมด พร้อมทั้งตรวจสอบ และอายัดทรัพย์สินของกลุ่มเหล่านี้ รวมไปถึงสมาชิกครอบครัวของปูติน และ “เซอร์เกย์ลาฟรอฟ” รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ที่เพิ่งออกมาขู่เกี่ยวกับการใช้ “นิวเคลียร์” ต่อกลุ่มต่อต้านการกระทำของรัสเซียเมื่อไม่นานมานี้
ตัดธนาคารและบริษัทขนาดใหญ่ของรัสเซียจากตลาดการเงินของชาติตะวันตก พร้อมอายัดทรัพย์สินของรัสเซียมูลค่านับล้านล้านดอลลาร์ ตลอดจนคว่ำบาตรโดยตรงต่อชนชั้นนำของรัสเซียพร้อมสมาชิกครอบครัว รวมถึงประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน และเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ส่วนบริษัทใหญ่ด้านระบบการชำระเงิน และเครดิตการ์ดอย่าง Visa และ Mastercard ก็ประกาศปิดกั้นสถาบันการเงินของรัสเซียจากเครือข่ายของตนไปเป็นที่เรียบร้อย
สหรัฐฯ และชาติพันธมิตรยังตอบโต้รัสเซีย ที่บุกรุกยูเครนอย่างอุกอาจ ด้วยการตัดการทำธุรกิจทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการนำเข้าสินค้า หรือการส่งออก รวมไปถึงการหยุดการผลิตสินค้าทุกชนิดให้กับบริษัทที่อยู่ในแผ่นดินรัสเซีย ค่ายหนังใหญ่ๆ ในสหรัฐฯ จะไม่ฉายหนังในแผ่นดินของปูตินอีกต่อไป รวมไปถึงการตัดขาดทางการขนส่งสินค้า และบริการ ไม่ว่าจะเป็นทางอากาศ ทางน้ำ หรือบนดิน ทุกเส้นทางที่เข้าไปยังประเทศรัสเซีย แต่ยังยกเว้นสินค้าประเภทอาหาร ยา และอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมไปถึงสินค้าจำเป็นด้านมนุษยธรรม ปิดท้ายด้วยบริษัทสื่อสารทุกแห่งในประเทศที่ไม่เห็นด้วยต่อการกระทำของรัสเซีย ทั้งทางออนไลน์ และออฟไลน์ อาทิ Apple Facebook Instagram YouTube TikTok Google และ Sky TV ได้ปิดกั้นการเข้าถึงทุกแพลตฟอร์มสื่อสาร จากสำนักข่าวที่เป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลรัสเซียทุกแห่ง
นี่คือการตอบโต้ของสหรัฐฯ และชาติพันธมิตร ที่ว่ากันว่ามีมากถึงกว่า 141 ประเทศ ที่ต้องการให้ปูตินหยุดยิง และทำการถอนทหารออกจากดินแดนของยูเครนในทันที
ที่น่ากังวลก็คือ ประชาชนชาวรัสเซียนับหมื่น ได้ออกมารวมตัวกันที่เมืองใหญ่ ทั้งกรุงมอสโก และนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เพื่อแสดงออกถึง “การไม่เอาสงคราม” กันอย่างเข้มข้น จนทำให้เจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนต้องเข้าไปสลายการชุมนุม และจับกุมผู้ประท้วงไปแล้วหลายพันคน แต่ก็ยังคงมีการประท้วงเกิดขึ้นอยู่อย่างต่อเนื่อง จนทางการรัสเซียต้องออกคำสั่ง “ห้ามกล่าวถึงสงคราม” และใช้มาตรการที่หนักขึ้นต่อกลุ่มผู้ประท้วง ด้วยการอ้างถึงเสียงสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ในรัสเซีย ต่อการบุกเข้าไปยึดเมืองหลวงของยูเครน
ดังนั้น ถ้าปูตินสามารถบุกเข้าไปครอบครอง “กรุงเคียฟ” ได้สำเร็จทวงคืนส่วนหนึ่งของรัสเซียกลับคืนมาได้(ตามที่เขากล่าวอ้าง) คำถามก็คือว่าผลกระทบทั้งหมดที่กล่าวมา ต่อชาวรัสเซียในทุกระดับนั้น มัน “คุ้มค่า” กับชัยชนะที่เกิดขึ้นหรือไม่ ที่สำคัญ ทางด้านผู้สนับสนุนของอีกฝั่ง ก็คงจะไม่ยอมอ่อนข้อให้ง่ายๆ ท้ายที่สุด อะไรคือราคาที่ต้องจ่าย “อดีต” ได้เคยให้ “คำตอบ”เอาไว้อย่างครบถ้วนแล้ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี