สัปดาห์นี้ยังคงอยู่กับความขัดแย้งระหว่าง “รัสเซีย” กับ “ยูเครน”แม้ว่าจะมีการเจรจาเกิดขึ้นประมาณ 2-3 ครั้งระหว่างตัวแทนของทั้งสองประเทศ แต่ความรุนแรงก็ยังคงปะทุอยู่อย่างต่อเนื่องหลังกองทัพของปูตินพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเข้ายึด “กรุงเคียฟ” ให้สำเร็จด้วยการตีโอบจากทุกทิศทาง เพื่อหวังล้อมเมืองหลวงของชาวยูเครนเอาไว้ด้วยความหวาดกลัว
...กระนั้น เป้าหมายของรัสเซีย หรืออาจมองว่า เป็นเป้าหมายของประธานาธิบดี “วลาดีมีร์ ปูติน” ก็ยังไม่สัมฤทธิผล ท่ามกลางมรสุมทางเศรษฐกิจที่โหมกระหน่ำใส่มอสโกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อสหรัฐอเมริกา และชาติพันธมิตรของยูเครนในยุโรป และเอเชีย ต่างใช้มาตรการคว่ำบาตรทางการเงิน และการค้า รวมไปถึงการริบทรัพย์สมบัติ และความมั่งคั่งของบรรดาบุคคลที่ให้การสนับสนุนปูติน ซึ่งได้นำไปเก็บรักษาเอาไว้บนแผ่นดินของพวกเขา
แน่นอนว่า ผลกระทบเช่นนี้ ย่อมสร้างความลำบากให้กับประชาชนคนรัสเซียเป็นอย่างมาก รวมไปถึงความอึดอัดใจจากการถูกประณามในรูปแบบอันหลากหลาย เพื่อแสดงออกถึงการไม่อยากคบหาสมาคมของคนกว่าค่อนโลกการรวมตัวของผู้คนจึงเกิดขึ้นในเมืองสำคัญของรัสเซีย และถูกปราบปรามอย่างเด็ดขาดด้วยเวลาไม่นานนัก จนจำนวนคนที่ไม่เห็นด้วยต่อการเปิดสงครามของปูตินในรัสเซียลดลงอย่างต่อเนื่องส่วนหนึ่งถูกจับกุม แต่อีกส่วนอาจมองว่า สิ่งที่ประธานาธิบดีของพวกเขากำลังทำอยู่นั้น มีเหตุผลรองรับที่น่าเชื่อถือ และเป็นไปเพื่อความปลอดภัยของรัสเซียตามที่อดีต KGB (หน่วยสืบราชการลับของสหภาพโซเวียต) วลาดีมีร์ ปูติน พยายามสื่อสารกับโลกอย่างเข้มข้น
“ผมเข้าใจชัดเจนว่า ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว จะยกระดับภัยคุกคามทางทหารต่อรัสเซียเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ความจริงที่ว่านี้ ทำให้อันตรายจากการถูกจู่โจมจากต่างชาติจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า มีความเป็นไปได้ที่จะมีการโจมตีระบบขีปนาวุธของศัตรู ใครคือศัตรูในสายตาของสหรัฐ และนาโต เราชาวรัสเซียต่างทราบดี ในเอกสารของนาโตระบุอย่างชัดเจนว่า รัสเซียเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อความมั่นคงของนาโตและยูเครนก็ทำหน้าที่เป็นรัฐกันชนมาโดยตลอด ที่สำคัญ ยูเครนในปัจจุบัน ถือกำเนิดจากอดีตสหภาพโซเวียต หรือพูดง่ายๆ คือ กลุ่มบอลเชวิค นำโดย วลาดีมีร์เลนิน ผู้นำการปฏิวัติของโซเวียต คือบิดาผู้เขียนยูเครนขึ้นมาบนแผนที่ ยูเครนไม่เคยมีความเป็นรัฐที่แท้จริง นับตั้งแต่ก้าวแรกของยูเครนยุคใหม่ ยูเครนสร้างชาติด้วยการปฏิเสธความเป็นหนึ่งในอดีตพวกเขาพยายามบิดเบือนประวัติของประชาชนนับล้าน สำหรับรัสเซีย ยูเครนไม่ใช่แค่ประเทศเพื่อนบ้าน แต่มีความผูกพันกันในทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และจิตวิญญาณ ดังนั้น จึงแบ่งแยกกับรัสเซียไม่ได้ และการที่ฝ่ายตะวันตก ที่นำโดยอเมริกา กล้าแผ่อิทธิพลมาถึงยูเครน ทำให้รัสเซียไม่มีทางเลือกจริงๆ”
นี่คือส่วนหนึ่งที่หยิบยกมาจากคำแถลงในวันที่ปูตินตัดสินใจขออำนาจจากรัฐสภาในการเคลื่อนกองทัพบุกเข้าไปในพื้นที่ของยูเครน ซึ่งคนส่วนใหญ่เชื่อกันว่านี่คือเหตุผลที่แท้จริงของความรุนแรงที่กำลังดำเนินอยู่ตอนนี้ เพราะปูตินเชื่อมาตลอดว่า ยูเครนเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย และสหรัฐฯ รวมไปถึงชาติพันธมิตรที่ยุโรป ในนามกลุ่มนาโต กำลังจะใช้ยูเครนในการกดดันรัสเซียให้อ่อนแอ และกลายเป็นเป้าในการถูกทำลาย
ที่สำคัญ ชาวรัสเซียส่วนใหญ่ก็มองเช่นเดียวกันนี้ และนี่คือการสื่อสารที่สร้างความชอบธรรมให้กับปูติน ในการพารัสเซียเข้าสู่สถานการณ์สงคราม โดยไม่มีการโต้แย้งใดๆ ที่ทรงอานุภาพพอจากในดินแดนของเขา ส่วนทางฟากฝั่งของยูเครนประธานาธิบดี “โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี”ก็ไม่ใช่ย่อย แม้กำลังทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์รวมไปถึงโอกาสที่จะรอดจากการถูกยึด (รวมไปถึงการรอดชีวิต) นั้นไม่มากนัก แต่ก็สามารถรักษาฐานที่ตั้งในกรุงเคียฟเอาไว้ได้อย่างน่าประหลาดใจ สื่อสารมวลชนส่วนใหญ่มองว่า เป็นเพราะพลังใจของประชาชนที่นั่น แต่สื่อสารมวลชนอีกส่วนที่ก็มีจำนวนไม่แพ้กัน พวกเขาต่างยกย่องให้การสื่อสารของท่านผู้นำจากยูเครน
ก่อนหน้านี้ ต้องยอมรับว่า สงครามข่าวสารบนพื้นที่ออนไลน์ และออฟไลน์ ต่างเล่นประเด็นการเป็น “นักแสดงตลก” ของประธานาธิบดี วัย 44 ปีของยูเครนอย่างหนัก เพื่อลดทอนความน่าเชื่อถือ และประสิทธิภาพในการบัญชาการทั้งต่อกองทัพ และพลเมืองของตนเอง แต่หลังจากระเบิดลูกแรกจากรัสเซียดังขึ้นในดินแดนของยูเครน พร้อมการเคลื่อนทัพที่หวังจบชีวิตทางการเมืองของเซเลนสกี ในนามทหารของปูติน ความเป็นผู้นำของอดีตนักแสดงตลกคนนี้ก็ฉายแววขึ้นมาในทันที เมื่อตัวเขาเองออกมาประกาศตัวว่า จะอยู่สู้กับรัสเซียบนดินแดนบ้านเกิด พร้อมกับประชาชนของตัวเอง โดยไม่หนีไปไหนหลังจากมีการประสานให้ตัวเขาเองสามารถลี้ภัยไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้ในความสนับสนุนของสหรัฐอเมริกา
“ผมจะอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน และจะปกป้องเมืองหลวงแห่งนี้ เราจะไม่วางอาวุธ เราจะปกป้องอิสรภาพของเรา ปกป้องประเทศของเรา” นี่คือสารจากประธานาธิบดียูเครน ต่อกองทัพและประชาชนของเขา รวมไปถึงรัสเซีย ซึ่งก็ได้ทำให้ประชาชนเกือบทั้งหมดในยูเครนลุกขึ้นมาจับอาวุธ และเข้าร่วมกับกองทัพในฐานะกองกำลังรักษาประเทศ นอกจากนั้นประธานาธิบดีคนนี้ยังใช้สื่อสังคมออนไลน์ของตัวเองรวมไปถึงสื่ออย่างเป็นทางการ ในการสื่อสารถึงความช่วยเหลือที่มาไม่ถึงของชาติพันธมิตร ทั้งสหรัฐฯ และกลุ่มนาโตรวมไปถึงความโหดร้ายของทหารรัสเซียที่กระทำต่อพลเมืองยูเครน โดยเฉพาะกับเด็ก และคนที่ไม่มีอาวุธ จนทำให้เกิดความเคลื่อนไหวในการต่อต้านการรุกรานยูเครนขึ้น และกลายเป็นความสนใจของโลกไปโดยปริยาย โดยมีปูติน และพลพรรคกองทัพรัสเซียเป็นผู้ร้าย นำมาสู่ความวุ่นวายทางเศรษฐกิจตามที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้
ล่าสุด โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ได้รับเกียรติให้ไปอภิปรายผ่านระบบประชุมทางไกลต่อที่ประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอังกฤษ ซึ่งแน่นอนว่า การสื่อสารของเขายังคงมุ่งตรงสู่เป้าหมาย ในการเรียกร้องให้มิตรประเทศเข้ามาช่วยหยุดการรุกรานของรัสเซีย
“ยูเครนจะต่อสู้กับรัสเซียจนถึงที่สุด ในทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะเป็นในป่า ทุ่งนา บนชายฝั่ง หรือบนถนน เราจะสู้ไม่ถอยเพื่อแผ่นดินของเรา ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม”
จากนั้นสื่อสารมวลชนทั่วโลกก็ได้นำเอาบทอภิปรายนี้ ไปเปรียบเทียบกับสุนทรพจน์ของ “วินสตัน เชอร์ชิล” อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศอังกฤษ ในระหว่างสงครามโลก จนกลายเป็นการสื่อสารที่ทรงพลังอีกครั้งของผู้นำยูเครน ก่อนที่เขาจะให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ในหลายๆ แห่งในเชิงตัดพ้อถึงกลุ่มนาโต ที่สงวนท่าทีต่อการเข้าร่วมของยูเครน และเปิดทางให้การตกลงตามเงื่อนไขของปูติน ในการไม่ให้เข้าร่วมกลุ่มนาโตของยูเครนอาจได้รับการยินยอม เพื่อหาทางออกจากความขัดแย้งดังกล่าว
“ผมเริ่มใจเย็นลง หลังจากเข้าใจแล้วว่า องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ ไม่พร้อมยอมรับยูเครนเป็นสมาชิก เพราะกลัวเกิดความขัดแย้ง และกังวลในการต้องเผชิญหน้ากับรัสเซีย ซึ่งผมเองก็ไม่ต้องการเป็นประธานาธิบดีของประเทศที่ต้องทำการคุกเข่าอ้อนวอนขอบางสิ่งบางอย่างเช่นกัน”
ทั้งหมดเป็น รูปแบบการสื่อสารของ “แม่ทัพ” ในสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งในที่นี่ขอให้มองข้ามเรื่องของประเด็นอื่นๆ ไปก่อน เพราะอยากชี้ชวนให้มอง “ภาวะผู้นำ” ในยามวิกฤตความเชื่อมั่น ว่าการสื่อสารนั้น พวกเขานำมันมาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรม และนำไปสู่เป้าหมายที่ตนเองต้องการได้อย่างไร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี