ราชวิทยาลัยรังสีแพทย์แห่งประเทศไทยเป็นองค์กรที่อยู่ภายใต้กำกับดูแลของแพทยสภา มีหน้าที่ให้ดำเนินกิจการตามแพทยสภาในส่วนที่เกี่ยวกับรังสีวิทยา และแพทย์ที่ใช้รังสีในการวินิจฉัยและรักษาโรค (ซึ่งเรียกว่ารังสีแพทย์) ตลอดจนเผยแพร่ความรู้ทางรังสีวิทยาให้แก่ประชาชน
เป็นที่รับรู้กันในทุกประเทศว่า ปรัชญาสำคัญของแพทย์ข้อแรกคือ หลักการว่าด้วยไม่ทำให้ผู้ป่วยได้รับอันตรายเพิ่มเติมไปจากโรคที่ผู้ป่วยมีอยู่แล้ว (First do no harm) รังสีแพทย์และบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับรังสีทางการแพทย์ทุกแขนงจึงมีความรู้ความเข้าใจ เรื่องอันตรายจากรังสี การป้องกันรังสี และการใช้รังสีอย่างปลอดภัย ตลอดจนปฏิบัติตามหลักการที่ว่านี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจนเรียกว่าเป็นวัฒนธรรมของวิชาชีพเลยก็ว่าได้
องค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวกับรังสีทางการแพทย์ได้หมั่นให้ความรู้แก่ประชาชนเรื่องอันตรายและความปลอดภัยของรังสีอยู่เนืองๆ อย่างไรก็ดี เมื่อเกิดกรณีสารกัมมันตรังสีซีเซียม-137 สูญหายไปและอาจจะถูกหลอมหรือถลุงกลายเป็นฝุ่นเหล็กฟุ้งกระจายอยู่ในชุมชนสร้างความกังวลด้านความปลอดภัยต่อสุขภาพและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จึงเห็นสมควรใช้โอกาสที่สังคมตื่นตัวเรื่องนี้ มาให้ความรู้ความเข้าใจต่อรังสี และผลกระทบต่อสุขภาพ เพื่อที่ว่าผู้อ่านจะได้ติดตามข่าวอย่างรู้เท่าทัน
รังสี คือพลังงานที่แผ่ออกไปได้ โดยมากเป็นอนุภาคหรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คือคลื่นที่แผ่ออกไปได้โดยไม่อาศัยตัวกลาง เช่นแสงแดดหรือคลื่นวิทยุ ส่วนเสียงเป็นคลื่นที่อาศัยตัวกลาง) อย่างไรก็ตามรังสีที่อยู่ในความสนใจด้านสุขภาพคือรังสีที่เมื่อกระทบแล้วทำให้เกิดประจุในเนื้อเยื่อ โดยประจุนี้จะทำให้เกิดอนุมูลอิสระ และอนุมูลอิสระไปส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ได้ต่อไป
สารกัมมันตรังสี คือสารที่ปลดปล่อยรังสีได้เองและปลดปล่อยอย่างต่อเนื่อง เมื่อปลดปล่อยแล้วสารนั้นจะมีความเสถียรมากขึ้น สารกัมมันตรังสีอาจจะพบได้ตามธรรมชาติในแร่บางชนิด หรือเกิดจากการประดิษฐ์ของมนุษย์ก็ได้ มนุษย์รู้จักรังสีชนิดที่ทำให้เกิดการแตกตัวของประจุเป็นครั้งแรกคือรังสีเอกซ์ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๘ (ค.ศ.๑๘๙๕) ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๙ (ค.ศ. ๑๘๙๖) จึงทราบว่าแร่บางอย่างมีสารกัมมันตรังสี และสารกัมมันตภาพรังสีถูกสกัดออกจากแร่ใน พ.ศ. ๒๔๔๕ (ค.ศ. ๑๙๐๒) รังสีเอกซ์มีอยู่ทั่วไปในธรรมชาติ แต่รังสีเอกซ์ที่ใช้ในการแพทย์เกิดจากการกระตุ้นธาตุทังสเตนที่ไม่ใช่สารกัมมันตรังสีให้ปลดปล่อยรังสีออกมาเป็นเฉพาะครั้ง เมื่อหยุดกระตุ้น ธาตุทังสเตนนั้นก็ไม่ปล่อยรังสีออกมา ส่วนซีเซียม-137 ที่เป็นข่าวอยู่นี้เป็นสารกัมมันตรังสีที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น ไม่ได้มีอยู่ตามธรรมชาติ
ประโยชน์ของรังสี มีการนำรังสีเอกซ์มาใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ภายใน ๑ ปีหลังจากการค้นพบ เพราะรังสีเอกซ์ช่วยให้แพทย์เห็นโครงสร้างภายในของร่างกายได้ จึงมีประโยชน์ในการวินิจฉัยโรค ส่วนสารกัมมันตภาพรังสีได้ถูกนำมาใช้เพื่อระงับการเติบโตของมะเร็งภายใน ๖ ปี (พ.ศ.๒๔๕๑ หรือ ค.ศ. ๑๙๐๘) หลังการค้นพบ ประเทศไทยเองนำเข้าเครื่องเอกซเรย์ ใน พ.ศ. ๒๔๔๑ คือ ๓ ปี หลังการค้นพบ และได้นำสารกัมมันตภาพรังสีมาใช้รักษาโรคมะเร็ง ในปี พ.ศ. ๒๔๘๑ จัดว่าวงการแพทย์ในไทยมีความคุ้นเคยกับการใช้รังสีมากว่า ๑๒๕ ปี หลังจากนั้นจึงมีการนำรังสีไปใช้ในวงการอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม ซีเซียม-137 ที่เป็นข่าวอยู่นี้เป็นสารกัมมันตรังสีที่ใช้อยู่ในวงการอุตสาหกรรม
อันตรายจากรังสี เริ่มมีการศึกษาทดลองในสัตว์เรื่องปริมาณรังสีที่ส่งผลเนื้อเยื่อแทบจะทันทีที่มีการค้นพบ มีรายงานว่ารังสีก่ออันตรายต่อมนุษย์ในบริเวณที่สัมผัสได้ในปี พ.ศ. ๒๔๔๗ (ค.ศ. ๑๙๐๔) คือ ๙ ปีหลังจากมีการใช้รังสีในทางการแพทย์ ส่วนปริมาณรังสีจำนวนมากที่ส่งผลต่อสุขภาพเมื่อได้รับทั้งตัวนั้นอิงตามเหตุการณ์สำคัญอยู่ ๒ เหตุการณ์คือ ระเบิดปรมาณูที่จังหวัดฮิโรชิมาและนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่นใน พ.ศ. ๒๔๘๘ (ค.ศ.๑๙๔๕) และโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดที่เชอร์โนบิล (ประเทศสหภาพโซเวียตในขณะนั้น ปัจจุบันอยู่ในประเทศยูเครน) ใน พ.ศ. ๒๕๒๙ (ค.ศ. ๑๙๘๖) ส่วนเหตุการณ์ภัยพิบัติโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จังหวัดฟุกุชิมะ ใน พ.ศ. ๒๕๕๔ (ค.ศ. ๒๐๑๑) ยังไม่มีรายงานว่ามีผลกระทบต่อสุขภาพ
เนื่องจากมีรังสีตามธรรมชาติจำนวนน้อยที่ร่างกายได้รับทั้งตัวเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว เรียกว่า รังสีพื้นหลัง (Background radiation) ซึ่งรังสีพื้นหลังนี้ถือว่าเป็นปริมาณรังสีที่ยอมรับได้ (คือได้รับอยู่เป็นประจำ หลีกเลี่ยงได้ยาก และไม่น่าจะมีอันตรายต่อสุขภาพ)
เมื่อจะพิจารณาอันตรายจากรังสีนั้นนักฟิสิกส์รังสีนักชีววิทยารังสี และรังสีแพทย์ มักนิยมเทียบเคียงกับปริมาณรังสีที่มนุษย์ได้รับตามธรรมชาติเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว (คือรังสีพื้นหลัง หรือ Background radiation) กับเหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดที่เชอร์โนบิล และเหตุการณ์ระเบิดปรมาณูที่จังหวัดฮิโรชิมาและนางาซากิ
สำหรับเหตุการณ์ซีเซียม-137 ที่กำลังเป็นข่าวอยู่นี้นักฟิสิกส์จำนวนหนึ่งคาดว่ามีปริมาณรังสีน้อยกว่าเหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดที่เชอร์โนบิลประมาณ ๕๗ ล้านเท่า ในขณะที่ยังไม่เป็นฝุ่นผงจะประมาณ ๕ เท่าของรังสีพื้นหลังที่ระยะ ๖ ฟุตห่างจากฝาเปิด และเมื่อเป็นฝุ่นผงแล้วน่าจะปริมาณน้อยกว่ารังสีพื้นหลัง
ผลต่อสุขภาพ พลังงานของรังสีทำให้เกิดประจุ และประจุทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระภายในเสี้ยววินาที ส่วนสารอนุมูลอิสระทำให้เกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อต่อมา ความเสียหายต่อเนื้อเยื่อนั้นขึ้นกับปริมาณของรังสี โดยหากรังสีมีพลังงานมากจะเกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อให้เกิดอาการได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง ส่วนรังสีที่มีพลังงานต่ำอาจจะไม่ทำความเสียหายต่อเนื้อเยื่อถึงขั้นให้เกิดอาการได้แต่จะมีผลกระทบต่อสารพันธุกรรม ทำให้เซลล์แบ่งตัวต่อไปไม่ได้ตามปกติ หรือเกิดการกลายพันธุ์ รังสีที่ใช้วินิจฉัยทางการแพทย์เป็นรังสีที่มีพลังงานต่ำ ส่วนรังสีที่ใช้รักษาทางการแพทย์เป็นรังสีที่มีพลังงานสูง ระเบิดปรมาณูและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ก็เป็นรังสีที่มีพลังงานสูง นอกจากปริมาณแล้ว ยังมีบริบทอีกหลายอย่างที่มีผลทำให้อันตรายจากรังสีมีมากน้อยต่างกัน เช่น ลักษณะของการสัมผัส เวลาของการสัมผัส ความไวของเนื้อเยื่อต่อรังสีที่แตกต่างกันซีเซียม-137 ที่เป็นข่าวอยู่นี้ หากดูจากปริมาณตลอดจนลักษณะที่ได้กลายเป็นฝุ่นผงไปแล้วจัดว่าเป็นรังสีที่มีพลังงานต่ำมาก
บุคคลหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการใช้รังสีในประเทศไทยเนื่องจากรังสีมีผลกระทบต่อสุขภาพ บุคคลที่เกี่ยวข้องกับรังสีจึงจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจเรื่องรังสีเป็นพิเศษ ตลอดจนมีความเชี่ยวชาญเรื่องความปลอดภัยทางรังสี และมีจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้รังสี อาชีพที่มีการกำกับดูแลและการสอบใบอนุญาตนี้นิยมเรียกว่า วิชาชีพ วิชาชีพทางรังสี ได้แก่ รังสีแพทย์ นักรังสีเทคนิค วิศวกร นักวิทยาศาสตร์ (เช่น นักฟิสิกส์ นักเคมี นักชีววิทยา) การใช้รังสีในประเทศไทยจะกำกับโดยพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ. ๒๕๖๒ ใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติโดยคณะกรรมการซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) เป็นรองประธาน ปลัดกระทรวงต่างๆ เป็นกรรมการ มีสำนักปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) ซึ่งอยู่ในสังกัดของ อว. เป็นเลขานุการ และข้องเกี่ยวกับความปลอดภัยทางรังสี บุคลากรที่ได้อบรมเรื่องความปลอดภัยทางรังสีตามพระราชบัญญัตินี้เรียกว่า เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยทางรังสี
กรณีซีเซียม-137 ในโรงงานไฟฟ้าไอน้ำจังหวัดปราจีนบุรีที่สูญหายไป โรงงานดังกล่าวใช้ซีเซียม-137 โดยมีวัตถุประสงค์เชิงอุตสาหกรรม คือใช้วัดค่าต่างๆ ในกิจการ จึงอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลและความรับผิดชอบของผู้ครอบครอง เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยทางรังสีในหน่วยงานนั้น กระทรวงที่เกี่ยวข้อง (คือกระทรวง อว. และกระทรวงอุตสาหกรรม) และ สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดการรั่วไหลสู่ชุมชนและสิ่งแวดล้อมจนเกิดความหวั่นวิตกว่าจะมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงสาธารณสุข จึงต้องเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้
โดยสรุป จากข้อมูล ณ ปัจจุบัน ปริมาณรังสีที่จะเกิดจากซีเซียม-137 สูญหาย แล้วถูกถลุงหรือหลอมจะมีปริมาณน้อยกว่ารังสีพื้นหลัง ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่ยอมรับได้ ประชาชนในชุมชนสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติโดยไม่ต้องมีวิธีปฏิบัติตนเป็นพิเศษแต่อย่างใด รวมถึงสามารถบริโภค-อุปโภคผลิตผลจากชุมชนนั้นได้อย่างปลอดภัย ทั้งนี้ขอแนะนำว่าให้ติดตามข่าวหรือข้อมูลใหม่ๆที่ประกาศจากหน่วยงาน หรือองค์กรที่น่าเชื่อถือได้อย่างใกล้ชิด
รศ.นพ.วิวัฒนา ถนอมเกียรติ
ประธานราชวิทยาลัยรังสีแพทย์แห่งประเทศไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี