โรคเบาหวาน (diabetes mellitus) คือ โรคที่มีปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ปัจจุบันนี้มีการตรวจวินิจฉัยโรคเบาหวานได้หลายวิธี เช่น การตรวจหาระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารมาแล้วอย่างน้อย 8 ชม. ถ้าเกิน 126 มก.ต่อ 100 ซีซี หรือ 126 มก.% 2 ครั้งก็ถือว่าเป็นโรคเบาหวานแล้ว
แต่แพทย์สามารถตรวจหาโรคเบาหวานได้จากการตรวจหาHbA1C หรือที่มีชื่อเต็มว่า Hemoglobin A1c (ฮีโมโกลบินเอวันซี)ซึ่งแปลง่ายๆ คือ น้ำตาลสะสม ปัจจุบันนี้แพทย์นิยมการใช้ HbA1C มากกว่าการหาระดับน้ำตาลในเลือด เนื่องจากผู้ป่วยบางคนไม่มีพฤติกรรมที่เหมาะสมเกี่ยวกับการกินอาหาร แต่พอใกล้จะไปหาหมอ จึงจะควบคุมหรืออดอาหาร ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่าปกติของผู้ป่วยคนนั้น การตรวจหาระดับ HbA1C เป็นการหาระดับน้ำตาลสะสมในระยะ 3 เดือนก่อน ฉะนั้นถึงแม้น้ำตาลในเลือดจะดูดี แต่ระดับ HbA1C ถ้าสูง จะฟ้องว่าผู้ป่วยไม่ได้ควบคุมอาหารดีพอในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
น้ำตาล (glucose) ในเลือดมาจากอาหาร เซลล์ในร่างกายต้องการน้ำตาลเป็นพลังงาน อินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ผลิตมาจากตับอ่อน ช่วยทำให้น้ำตาลเข้าไปในเซลล์ แต่ในกรณีของโรคเบาหวาน ตับอ่อนอาจจะไม่ผลิตอินซูลิน ผลิตไม่พอ หรือร่างกายมีความดื้อต่ออินซูลิน (insulin resistance) ระดับน้ำตาลในเลือดจึงสูงขึ้นกว่าปกติ
HbA1C คืออะไร น้ำตาล glucose จะเกาะติดกับฮีโมโกลบินซึ่งเป็นโปรตีนในเม็ดเลือดแดง เมื่อน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นน้ำตาลจะไปเกาะติดกับฮีโมโกลบินมากยิ่งขึ้น ฉะนั้นการตรวจหาระดับ HbA1C หรือ A1C จึงเป็นการตรวจเปอร์เซ็นต์ของเม็ดเลือดแดงที่มีน้ำตาลหุ้มฮีโมโกลบิน A1C เป็นการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา เพราะว่า น้ำตาล จะเกาะติดกับฮีโมโกลบินตลอดชีวิตของเม็ดเลือดแดง และเม็ดเลือดแดงมีชีวิตประมาณ 3 เดือน
ชื่ออื่นๆ ของ HbA1C คือ glycol haemoglobin หรือ glycated haemoglobin หรือ glycosylated haemoglobin
การวินิจฉัยว่าที่โรคเบาหวาน (prediabetes) และโรคเบาหวานจาก American Diabetic Association (ADA) guideline 2023 คือ
ใครควรตรวจคัดกรองหา “ว่าที่” โรคเบาหวาน และโรคเบาหวาน ทั้งๆ ที่ยังไม่มีอาการ?
1) ควรตรวจผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน (BMI > 25 หรือ > 23 ในคนเอเชีย) และมีอย่างน้อยหนึ่งปัจจัยเสี่ยงดังต่อไปนี้
1.1) เป็นญาติ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน (1st degree relative คือ ผู้ที่มีพ่อ แม่ พี่น้อง ลูกเป็นโรคเบาหวาน)
1.2) ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงจากเชื้อชาติ เช่น อัฟริกัน- อเมริกัน
1.3) ผู้ที่มีประวัติโรคหลอดเลือด (CVD-cardiovascular disease)
1.4) ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง (130/80 มม.ปรอท หรือผู้ที่ได้รับการรักษาโรคความดันอยู่)
1.5) ไขมัน HDL ต่ำกว่า 35 มก.% และหรือtriglyceride สูงกว่า 250 มก.%
1.6) ผู้ที่เป็นโรค polycystic ovary syndrome
1.7) ผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย
1.8) ผู้ที่มีโรคที่เกี่ยวข้องกับการดื้อต่ออินซูลิน เช่น อ้วน acanthosis nigricans
2) ผู้ที่เป็นโรค “ว่าที่” เบาหวาน (A1C 5.7% หรือสูงกว่า ควรตรวจทุกปี)
3) ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานตอนตั้งครรภ์ ตรวจทุก 3 ปีตลอดชีวิต
4) คนอื่นๆ ควรตรวจตอนอายุ 35 ปี และทุก 3 ปี
5) ถ้าผลปกติ ควรตรวจทุก 3 ปี
6) ผู้ที่มี HIV
การตรวจคัดกรองหาว่าที่เบาหวาน และเบาหวานในเด็กที่ไม่มีอาการ
สำหรับเด็กๆ ที่มีน้ำหนักเกิน (มากกว่า 85 เปอร์เซ็นต์ไทล์)หรืออ้วน (มากกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ไทล์) ที่มีหนึ่งหรือมากกว่าความเสี่ยงดังต่อไปนี้
1) แม่เป็นโรคเบาหวาน หรือเป็นตอนท้องลูกคนนี้
2) ประวัติเบาหวานในครอบครัว ทั้งญาติสายตรง และ 2nd degree (ปู่ย่า ตายาย ลุงป้า น้า อา หลาน)
3) มีความดื้อต่ออินซูลิน เช่น ผู้ที่เป็นโรค acanthosis nigricans, ความดันโลหิตสูง, ไขมันในเลือดผิดปกติ poly cystic ovary syndrome หรือเกิดมาตัวเล็กไปสำหรับอายุการตั้งครรภ์
โอกาสต่อไปผมจะพูดถึงการป้องกันและการรักษา
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี