(ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว)
วัคซีนป้องกันโรคฝีดาษลิง (Mpox) ที่มีการใช้
วัคซีนที่ใช้ป้องกันโรค มีบริการที่สภากาชาดไทย ได้แก่
1.วัคซีนฝีดาษ (Smallpox vaccine): วัคซีนนี้อ้างว่าทำจากเชื้อฝีดาษวัวและเชื้อถูกทำให้อ่อนฤทธิ์ก่อนจะนำมาใช้ในคน การใช้จะทำโดยหยดน้ำยาวัคซีนที่มีเชื้อบนต้นแขนซ้าย แล้วใช้เข็มจิ้มผ่านหยดวัคซีนเข้าไปที่ผิวหนังให้มีจุดเลือดออกนิดๆ เชื้อที่อ่อนฤทธิ์จะผ่านผิวหนังเข้าไปในร่างกายและกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันได้ จึงเรียกว่าปลูกฝี วัคซีนแบบนี้ถูกใช้มานานจนไม่พบไข้ทรพิษ ประเทศไทยจึงเลิกทยอยปลูกฝีตั้งแต่ปี 2517 และทั่วโลกยกเลิกในปี 2523 วัคซีนนี้มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคฝีดาษวานรได้ด้วย เนื่องจากเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคทั้งสองชนิดมีความคล้ายคลึงกัน ถ้าเราเคยปลูกฝีและมีภูมิคุ้มกันปกติ จะมีเซลล์ความจำชนิด ทีเซลล์ ในร่างกายที่จะออกมาเพิ่มจำนวนและต่อสู้กับเชื้อเมื่อเชื้อตัวใหม่เข้าสู่ร่างกาย ปัจจุบันไม่ได้นำวัคซีนชนิดนี้มาใช้แล้ว
2.JYNNEOS™ (หรือ Imvamune/Imvanex) : เป็นวัคซีนที่ผลิตใหม่และได้รับการอนุมัติสำหรับการฉีดป้องกันทั้งโรคฝีดาษและฝีดาษวานร ผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ปลอดภัยและมีผลข้างเคียงน้อย ฉีดวัคซีนเข้าชั้นใต้ผิวหนังครั้งละ 0.5 มล. หรือฉีดเข้าชั้นผิวหนังจุดละ 0.1 มล. รวม 2 ครั้ง ห่างกันอย่างน้อย4 สัปดาห์ในผู้ที่มีอายุเกิน 18 ปี
แนะนำให้ฉีดวัคซีนเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อเท่านั้น เช่น ผู้ที่ทำงานในสถานพยาบาลหรือผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคนี้
ประชาชนทั่วไปไม่ต้องฉีดวัคซีนเพราะสามารถใช้วิธีป้องกันการติดเชื้ออย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว
ผู้ที่มีอายุเกิน 44 ปีขึ้นไป หรือสังเกตเห็นแผลเป็นที่ต้นแขนซ้ายดังภาพ หากเป็นผู้เสี่ยงสูงก็อาจจะฉีดกระตุ้นเพียง1 ครั้งหรือไม่ก็ได้
วิธีการป้องกันการติดเชื้อ
การป้องกันการติดเชื้อถือเป็นปราการสำคัญด่านแรกและเพียงพอสำหรับประชาชนทั่วไป เพราะเชื้อไม่ได้ติดต่อง่ายแต่ขอให้ประชาชนปฏิบัติตามอย่างเข้มข้นจริงจัง จะป้องกันการติดเชื้อได้แน่นอน ที่สำคัญที่สุดคือ งดการสัมผัสอย่างใกล้ชิดเด็ดขาดกับผู้ติดเชื้อหรือผู้ที่อาจจะอยู่ในระยะฟักตัวของโรคนี้เป็นเวลา 1 เดือน คำแนะนำการป้องกันโรคสำหรับผู้ที่อาศัยในเมืองไทยมีดังนี้
ศาสตราจารย์นายแพทย์ อมร ลีลารัศมี รองอธิการบดี ม.สยาม อดีตนายกแพทยสมาคม แห่งประเทศไทยฯ วันที่ 23 สิงหาคม 2567
1.ไม่เดินทางไปท่องเที่ยวในดงระบาดของโรคฝีดาษวานร จนกว่าจะสามารถควบคุมการระบาดในพื้นที่นั้นได้ดีแล้ว
2.งดการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เดินทางกลับจากดงระบาดของโรคนี้หรือต่างประเทศและเพิ่งกลับมาเมืองไทยไม่ถึง 1 เดือน
3.งดการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่รู้จักมาก่อนและเพิ่งกลับมาเมืองไทยไม่ถึง 1 เดือน
4.สำหรับผู้หญิงและเด็ก ไม่ไปสัมผัสด้วยวิธีใดๆ เช่น จับมือกับผู้ที่ไม่รู้จักหรือผู้ที่เดินทางกลับจากดงระบาดและกลับมาเมืองไทยไม่ถึง 1 เดือน
5.ล้างมือให้สะอาดและบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อเมื่อไปจับต้องสิ่งของในที่สาธารณะโดยเฉพาะแม่บ้านในโรงแรมที่เข้าไปทำความสะอาดเตียงนอนในห้องพัก แนะนำให้สวมหน้ากากอนามัยและล้างมือทุกครั้งทั้งก่อนและหลังสัมผัสผ้า เตียงนอน และสิ่งของต่างๆ ในห้องพัก
6.ไม่ใช้ของใช้ร่วมกัน : ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัว เช่น ผ้าเช็ดตัว หรือเสื้อผ้า ร่วมกับผู้อื่นเพราะอาจจะมีเชื้อปะปนอยู่จากผู้ป่วยที่ใช้สวมใส่มาก่อน
7.ไม่สัมผัสกับสัตว์ป่าที่อาจจะติดเชื้อ เช่น ลิง หนูหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
8.หากยังไม่ได้ล้างมือหลังจับสิ่งของสาธารณะหรือของใช้ของผู้อื่น ห้ามใช้มือมาขยี้ตา แคะจมูกหรือเกาตามผิวหนัง
หากทำการป้องกันอย่างเข้มข้นได้ดีครบถ้วนทั้ง 8 ข้อนี้ จะไม่เกิดการระบาดของฝีดาษวานรอย่างแน่นอนในประเทศไทย
ข้อสังเกตและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคนี้
หลายคนเข้าใจผิดว่า การสวมถุงยางอนามัยระหว่างการมีเพศสัมพันธ์จะป้องกันการติดเชื้อฝีดาษวานรได้ ความเชื่อนี้ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง เพราะการสวมถุงยางป้องกันการติดเชื้อที่มีเชื้ออยู่ในน้ำอสุจิหรือท่อปัสสาวะ แต่ไม่สามารถป้องกันการสัมผัสอย่างใกล้ชิดกับเชื้อที่อยู่ตรงผิวหนังที่อวัยวะเพศของชายและหญิงได้นอกจากนี้ หากมีผื่นหรือตุ่มน้ำใสหรือแผลที่ผิวหนังที่อยู่ใกล้อวัยวะเพศหรือตามร่างกาย การสวมถุงยางอนามัยไม่สามารถป้องกันการสัมผัสกับเชื้อได้เลย
นอกจากนี้ ผู้ติดเชื้อโดยเฉพาะสายพันธุ์ 2b อาจจะเริ่มมีผื่นหรือตุ่มแผลเล็กๆ ก่อนจะมีไข้ ขนาดของแผลหรือตุ่มจะมีขนาดเล็กและปรากฏที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า ใบหน้า ปากและลำคอ ขาหนีบและอวัยวะเพศหรือรอบทวารหนัก และยังมีจำนวนน้อยจนผู้อื่นไม่สามารถสังเกตเห็นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในห้องหรือพื้นที่ที่มีแสงสลัวๆ เช่น ตามผับ บาร์ ทำให้ผู้ติดเชื้อที่เพิ่งมีตุ่มอาจจะแพร่เชื้อให้รายใหม่ได้ง่ายโดยต่างฝ่ายต่างก็ไม่รู้ตัว หากป่วยรุนแรงจนมีตุ่มใสขึ้นตามร่างกายชัดเจน ผู้ติดเชื้อมักจะเก็บเนื้อเก็บตัวในบ้านและไม่ไปแพร่เชื้อให้ผู้ใดแล้ว
เมื่อสองปีก่อน การระบาดจำกัดอยู่เฉพาะการมีเพศสัมพันธ์และพบบ่อยในผู้ใหญ่ เพศชาย แต่ในปีนี้ในแอฟริกาพบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเด็กถึงร้อยละ 70 ดูเหมือนว่ามีบางอย่างเปลี่ยนแปลงในวิธีการแพร่เชื้อของสายพันธุ์ 1b คาดว่า เชื้อติดจากแม่ หรือผู้หญิงไปสู่เด็ก และเด็กเล่นด้วยกัน สัมผัสกันง่ายรวมถึงน้ำลายด้วย ทำให้เด็กจำนวนมากติดเชื้อง่ายขึ้น
แม้ว่าในสองปีก่อนที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานต่างๆ ทั้งในต่างประเทศและประเทศไทยที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันโรคฝีดาษวานร จะออกมาวิงวอนให้ทุกคนที่มีความเสี่ยงให้ระมัดระวังตัว วอนให้เลี่ยงมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนแปลกหน้า และในประเทศไทยเองเคยมีผู้กล่าวว่า ความเสี่ยงของการระบาดในไทยแทบเป็นศูนย์ แต่ในที่สุดก็พบว่า ใน 2 ปีที่ผ่านมาก็มีการระบาดในประเทศไทยจนพบผู้ติดเชื้อเฉพาะที่ยืนยันแล้วขึ้นไปถึง 827 ราย เป็นเพศชายถึงร้อยละ 98 แสดงว่า การรณรงค์ป้องกันแบบเดิมๆ ไม่น่าจะได้ผลดี ดังนั้น ต้องคิดหาวิธีการใหม่หรือเพิ่มมาตรการการป้องกันอย่างเข้มข้นและจริงจังมากขึ้นไปอีกในการป้องกันให้ได้ผลดีอย่างแท้จริง รวมทั้งการปฏิบัติตนของกลุ่มเสี่ยง
โดยสรุป วิธีป้องกันการติดเชื้อที่ดีที่สุดคือ การงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์กับคนไม่รู้จัก หรืองดเพศสัมพันธ์กับผู้ที่กลับมาต่างประเทศอย่างน้อย 1 เดือน (ให้พ้นจากระยะฟักตัวของโรค)ขอให้ทุกท่านล้างมือบ่อยๆ ก่อนและหลังจากไปจับสิ่งของสาธารณะหรือของผู้อื่น แม้ว่าท่านใดไปฉีดวัคซีนป้องกันฝีดาษวานรที่สภากาชาดไทยแล้ว ก็ยังต้องใช้มาตรการป้องกันตัวอย่างเข้มข้นดังที่กล่าวแล้ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี