ช่วงวันที่ 24-27 ตุลาคม 2567 มีการประชุมวิชาการทางด้าน Sports Medicine ของสมาคมกีฬาเวชศาสตร์โลก หรือ FIMS(International Federation of Sports Medicine-FédérationInternationale de Médecine du Sport) เป็นครั้งที่ 38 ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE-United Arab Emirates) ผมในฐานะนายกสมาคมกีฬาเวชศาสตร์แห่งประเทศไทย รวมทั้งกรรมการผู้บริหารสมาคมและสมาชิกรวม 15 คน ได้ไปร่วมประชุมวิชาการดังกล่าว ผมเองไปตั้งแต่ 23-30 ตุลาคม 2567 บางคนไป 23-25, ส่วนใหญ่ไป 23-27 กลับกลางคืนหลังการประชุมเสร็จ
เนื่องจากผมเคยได้รับเชิญจากท่านกงสุลใหญ่ ณ เมืองดูไบ ท่านนิภา นิรันดร์นุต และท่าน ออท. ณ กรุงอาบูดาบี ท่านสรยุทธชาสมบัติ ให้ไปบรรยายให้พี่น้องชาวไทยที่สถานเอกอัครราชทูต และที่สถานกงสุลใหญ่ และตามโรงงานต่างๆ มาแล้วเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2566พอทั้ง 2 ท่านทราบ จึงได้ให้เกียรติเชิญผมไปบรรยายให้เพื่อนคนไทยอีกในวันที่ 26, 27 และ 28 (ทั้งเช้าและบ่าย) รวม 4 ครั้งครั้งละ 2 ชั่วโมงเศษ ผมจึงต้องไป 23 และกลับ 30 ตุลาคม
การประชุมวิชาการจัดไม่ดีเลย ทั้งทางด้านสังคมและการประชุมเช่นเราลงทะเบียนตามปกติโดยไม่ได้รับแจ้งอะไร แต่พอถึงช่วง coffeebreak เราไม่สามารถดื่มกาแฟได้ โดยทางเจ้าภาพอ้างว่าเราไม่ได้จ่ายตังค์ค่า coffee break! มีที่ไหนในโลกที่ต้องจ่ายตังค์ค่า coffeebreak และตอนเราลงทะเบียนก็ไม่ได้แจ้งให้เราทราบ จะไปจ่ายตังค์ตอนนั้นก็ไม่ได้ เขาว่าสายไปแล้ว วันที่ 24 ตอนเย็นตอนแรกประกาศว่าจะมี Welcome Reception แต่ก็ไม่มี
ทางด้านวิชาการก็ไม่ดีพอในระดับนี้ พวกเราจากเอเชียไปก็บ่นกันเป็นแถว ประเทศไทยไปมากที่สุดถึง 15 คน Hong Kong ที่ใหญ่โตทางด้านนี้ในแง่ของสมาคมกีฬาเวชศาสตร์เอเชีย (Asian Federation of Sports Medicine, AFSM) ก็ไปเพียง 3 คน จาก Malaysia เห็น 2 คน! ฯลฯ
เราไปเพื่อจะสร้างสายสัมพันธ์ รวมทั้งดูว่าใครพูดเก่งจะได้เชิญมาบรรยายในไทย เพราะปี 2026 สมาคมกีฬาเวชศาสตร์ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมของ AFSM แต่มาคราวนี้ไม่ได้ท่า ไม่ได้ประโยชน์เอาเสียเลย
ท่านกงสุลใหญ่ไทยได้กรุณาเชิญพวกเราทั้ง 15 คนไปรับประทานอาหารค่ำที่ทำเนียบในวันที่ 24 ตุลาคม รวมทั้งกรุณาจัดรถรับส่งอีกด้วยพวกเราเลยได้ลาภปาก อร่อยมากไปตามๆ กัน ถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูงสำหรับคณะเรา รวมทั้งท่านกงสุลใหญ่ได้กรุณาให้ผมและคุณหมอเรืองศักดิ์ไปพักที่ทำเนียบ
หัวข้อการบรรยายของผมสำหรับพี่น้องชาวไทยคือ Art of Living หรือศิลปะในการดำรงชีวิต (อย่างประสบความสำเร็จ และมีความสุข) ซึ่งหลักๆ คือเรื่องการเรียน การศึกษา การทำงาน การลงทุนและการดูแลสุขภาพ อาวุธที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จได้ คือ การเป็นคนดีที่เก่ง รอบรู้ และมีสุขภาพที่ดี รวมทั้งการมีทัศนคติที่เป็นบวกมี growth mindset มองโลกในแง่ดี ทุกอย่างดีขึ้นได้ ทั้งความรู้ ความยากจน ฯลฯ ทั้งนี้ทุกคนต้องรักในสิ่งที่ทำและทำแบบกัดไม่ปล่อยการดูแลสุขภาพมีอาหาร ออกกำลังกาย เป็นหลัก เสริมด้วยการฉีดวัคซีน การนอน การไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ไม่สูบบุหรี่ ไม่ใช้สิ่งเสพติด มีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย เดินสายกลางในชีวิต และการตรวจคัดกรองหาโรค เช่น มะเร็งเต้านม ปากมดลูก และลำไส้ใหญ่ ฯลฯ
คนไทยที่อาศัยอยู่ใน UAE มีประมาณ 12,000 คน ประมาณครึ่งหนึ่งลักลอบทำงานด้วยวีซ่าท่องเที่ยว ซึ่งผิดกฎหมายของยูเออี กลุ่มนี้มีปัญหามาก เพราะถูกหลอกลวงหรือเข้าใจผิดว่าจะได้งานรายได้ดีโดยมีขบวนการสาย/เอเจนซี่ผิด ก.ม. ชักชวนผ่านโซเชียลมีเดีย พาคนไทยไปทำงานนวด ซึ่งลงเอยเป็นนวดแอบแฝง/นวดเทา โดยสาย/เอเจนซี่ผิด ก.ม. เหล่านี้ จะออกเงินให้ก่อน ทั้งค่าเครื่องบินและทำวีซ่าท่องเที่ยวให้ พอไปถึง คนไทยจะถูกยึดหนังสือเดินทาง ถูกกักขังหน่วงเหนี่ยว ออกไปไหนไม่ได้ ถูกกดขี่ข่มเหง บังคับให้ทำโน่นนี่ ทำงานใช้หนี้ จะไปฟ้องร้องก็ไม่ได้ ไม่มีความรู้ที่จะไปติดต่อกับใคร ใช้ IT ไม่เป็น ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ จึงมีปัญหามาก ทางสถานทูต สถานกงสุลใหญ่ในยูเออี พยายามเตือนภัย แต่ยังคงมีคนไทยหลงเชื่อ เดินทางมาและประสบชะตากรรมต่างๆ นานา ทั้งปัญหาสุขภาพ ป่วยหนัก ติดเชื้อ HIV โรคต่างๆ ปัญหายาเสพติดทั้งใช้และทั้งขาย หรือรับจ้างขนของโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว คือ ขนยาเสพติดให้ผู้อื่น
เรื่องนี้ผมคิดว่ารัฐบาลต้องพยายามประชาสัมพันธ์ที่กรุงเทพฯว่าทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามฝัน ไม่มีอะไรที่จะง่ายแบบนั้น กระทรวงแรงงานต้องช่วยกันดูแลให้ข้อมูลที่ถูกต้อง แนะนำพี่น้องชาวไทยตลอดเวลา ดูแลให้ทุกหน่วยงานที่จัดหาแรงงาน ทำอย่างถูกต้องโดยมีพี่น้องชาวไทยอยู่ในหัวใจ
ผมได้ไปบรรยายที่สถานทูต ที่โรงงาน Crown Emirates ซึ่งเป็นโรงงานใหญ่ที่ผลิตกระป๋อง และที่สถานกงสุลใหญ่ ท่านกงสุลใหญ่ได้เชิญคุณหมอสามี-ภรรยา ชาวอินเดีย แต่เคยอยู่ประเทศไทยมาช่วยตรวจร่างกายให้คนไทยโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย รวมทั้งวัดความดันน้ำตาลในเลือดจากปลายนิ้ว ผมยังไปบรรยายที่ รร. Centara ของคนไทยที่ใหญ่โต สวยงามมาก มี 600 กว่าห้อง มีแขกพักถึง 98% คนแน่นมาก เปิดมาได้ 3 ปี น่าพักมาก ติดชายหาด มีหนังกลางแปลง มีสระว่ายน้ำใหญ่โตมโหฬาร หลายสระ
สรุปแล้วผมได้ความรู้ ประสบการณ์ในการบรรยาย ในการพบพี่น้องชาวไทย พูด 4 ครั้ง 8 ชม. และยังมีช่วงซักถามอีก แต่ไม่รู้สึกเหนื่อย ที่ดีใจ คือ พูดนาน แต่คอ(ยัง)ไม่พัง ซ้ำกลับมา 30 วันที่ 31 ยังต้องไปบรรยายให้คณะนักศึกษา Hida 4 ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา อีก 2 ชั่วโมง!?
แต่ผมรักในสิ่งที่ทำ จึงสนุกมาก ถ้าไม่รักคงทรมานตกนรกทั้งเป็น!?
ต้องขอบคุณท่าน ออท. ท่านกงสุลใหญ่ ที่ให้เกียรติและโอกาสผม ถือว่าเป็นกำไรชีวิตจริงๆ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี