คุณแม่หลายท่านมีประสบการณ์การดูแลลูกน้อยตัวเหลืองด้วยคำแนะนำให้นำลูกไปตากแดด แต่เด็กหลายคนเลยที่ไม่ได้โชคดีหายเหลือง หลายคนเสียโอกาสของชีวิตไปเพราะตัวดำแดด บดบังสีเหลืองที่เป็นกุญแจเผยภัยร้าย จนเมื่อเด็กมี อุจจาระซีดขาว ตับแข็ง ท้องอืดบวมโต ภัยร้ายจึงเผยตัว
ใช่ค่ะ หมอกำลังพูดถึงภัยร้ายที่เป็นสาเหตุให้เด็กต้องมารับการปลูกถ่ายตับมากที่สุด “โรคท่อทางเดินน้ำดีอุดตันตั้งแต่กำเนิด” แม้ว่าปัจจุบันการแพทย์จะก้าวหน้าไปมากจนสามารถผ่าตัดเปลี่ยนตับได้ในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เช่น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลรามาธิบดี ด้วยอัตราการรอดชีวิตที่สูงขึ้น หมอก็มั่นใจว่าคงไม่มีใครต้องการให้ลูกของตนต้องได้รับการผ่าตัดใหญ่ที่มีความเสี่ยงสูงต้องกินยาและติดตามอาการกันตลอดชีวิตอย่างแน่นอน ความรู้และความก้าวหน้าด้านการปลูกถ่ายตับในเด็กมีการเขียนไว้ในสื่อสังคมออนไลน์และหนังสือพิมพ์มานานแต่จำนวนผู้ป่วยเด็กที่วินิจฉัยโรคได้ช้าและต้องมาผ่าตัดปลูกถ่ายตับก็มากขึ้นตามกัน หมอคิดว่าสิ่งสำคัญที่จะวินิจฉัยให้เร็วเพื่อให้เด็กได้รับการรักษาตั้งแต่แรกๆ ลดโอกาสที่ต้องผ่าตัดปลูกถ่ายตับเป็นสิ่งสำคัญที่สุดค่ะ
ภาพที่ 1 อุจจาระสีเหลืองปกติ ออกสีเหลืองทองและเนื้อนิ่มๆ
โรคท่อทางเดินน้ำดีอุดตันตั้งแต่กำเนิด พบได้บ่อยในเด็กเอเชียโดยเฉพาะเด็กผู้หญิง แม้ว่าความรู้ในปัจจุบันยังไม่สามารถระบุสาเหตุการเกิดโรคได้ชัดเจน ทางการแพทย์จึงยังไม่สามารถรักษาที่ต้นตอได้ แต่จากงานวิจัยพบว่าสัมพันธ์กับความผิดปกติระดับเซลล์ของทางเดินน้ำดี การติดเชื้อของแม่ในช่วงตั้งครรภ์ การกระตุ้นภูมิต้านทานของแม่มาทำลายเซลล์ทางเดินน้ำดีลูก เป็นต้น
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกของเราต้องมาตรวจหาโรคนี้ โดยทั่วไปเด็กที่เป็นโรคนี้แรกคลอดจะดูแข็งแรงปกติดี แต่ภาวะเหลืองหลังคลอดจะคงอยู่นานเกินกว่า 2 สัปดาห์หรือไม่ลดลงภายในอายุ 2 สัปดาห์ ยิ่งเวลาผ่านไปอุจจาระจะเปลี่ยนจากสีเหลืองทองปกติ (ภาพที่ 1) เป็นสีที่สัดส่วนความเหลืองลดลงเรื่อยๆ คือสีแบบไข่เจียวหรือครีม (ภาพที่ 2) จนที่สุดแล้วจะเป็นสีขาวซีด(ภาพที่ 3) ตามการตีบตันที่มากขึ้นของท่อทางเดินน้ำดี (น้ำดีผลิตมาจากตับและเป็นสารสีเหลืองทองเข้มๆ) เมื่อน้ำดีไม่ได้ไหลเข้ามาในทางเดินอาหารก็จะคั่งค้างในตับและทำลายตับให้เสียหายในที่สุดตับจะไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ การเปลี่ยนตับที่ดีแทนที่ตับที่เสียหายจึงเป็นคำตอบสุดท้าย
ภาพที่ 2 อุจจาระสีเหลืองที่เริ่มซีดแต่อุจจาระที่เป็นเนื้อมูกอาจดูมีสีเหลืองซึ่งมักทำให้เข้าใจว่าอุจจาระยังสีเหลืองปกติได้ เป็นช่วงที่ควรต้องรีบมาเด็กมาตรวจเร็วที่สุด
แม้ว่าเด็กตัวเล็กจะสามารถแบ่งตับบางส่วนจากพ่อแม่หรือญาติมาได้แทนการรอรับจากตับผู้เสียชีวิตก็จำเป็นต้องรอเวลาที่เหมาะสม มีการตรวจความเข้ากันได้ของตับผู้ให้และเด็ก การประเมินโครงสร้างทางกายภาพว่าไม่มีอุปสรรคต่อการผ่าตัด และในระหว่างเวลานี้เด็กก็อาจเสียชีวิตไปก่อนได้ จากงานวิจัยพบว่าถ้าสามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้ภายในอายุ 2 เดือน เด็กร้อยละ 30 จะสามารถใช้ชีวิตด้วยตับของตนเองได้หลังรับการผ่าตัดเบี่ยงทางเดินน้ำดีจากตับไปที่ทางเดินอาหาร อีกร้อยละ 30 เป็นการเพิ่มโอกาสการใช้ชีวิตด้วยตับของเด็กเองจนถึงวัยที่พร้อมรับมือกับการปลูกถ่ายตับใหม่ซึ่งเป็นการรักษาที่ซับซ้อนและยุ่งยาก และสามารถจะดูแลตนเองในการกินยาหรือติดตามอาการได้ดี
หมอจึงขอฝากพ่อแม่หรือผู้ที่ดูแลเด็กทารกในบ้านสังเกตสีของอุจจาระในเด็กที่ตัวเหลืองนานเกินอายุ 2 สัปดาห์แม้ว่าเด็กจะดูแข็งแรงด้วยนะคะ รีบพามาพบแพทย์เพื่อตรวจและสืบค้นเพิ่มเติม เนื่องจากมีหลายขั้นตอน เช่น ตรวจเลือด อัลตราซาวนด์ตับ ตรวจทางเดินน้ำดีด้วยสารรังสีเอกซเรย์ การเจาะชิ้นเนื้อตับและรอผลตรวจทางกล้องจุลทรรศน์ ซึ่งใช้เวลาก่อนตัดสินใจว่าเด็กจะสามารถผ่าตัดเบี่ยงทางเดินน้ำดีได้หรือไม่ เวลาทองของการรักษาโรคนี้เพื่อให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดีมีภายในอายุ 2-3 เดือนเท่านั้นค่ะ ถ้าเกินระยะเวลานี้ไปจะรักษาได้เพียงการปลูกถ่ายตับเท่านั้นซึ่งมีอัตราการเสียชีวิตและอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนในระยะผ่าตัดและหลังผ่าตัดสูงด้วยค่ะ
ภาพที่ 3 อุจจาระสีซีดชัดเจน ซึ่งมักจะเป็นระยะท้ายๆของโรคที่เมื่อผ่าตัดเบี่ยงทางเดินน้ำดีแล้วได้ประสบผลสำเร็จน้อย
ผู้เขียน ผศ.พญ.พรศรี ธนะฉัตรชัยรัตนะ
คณะกรรมการบริหารราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย
ผู้แทนกุมารศัลยแพทย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี