ภาวะอ้วน หรือโรคอ้วน เป็นภาวะหรือโรคที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพของมนุษย์ทั่วโลก ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกพบว่าในปี ค.ศ.2022 (2565) มีคนอ้วนทั่วโลกถึง 1 ใน 8ของประชากร มีคนอ้วนเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าหลังจากปีค.ศ.1990 (2533) โดยโรคอ้วนในวัยรุ่น (adolescent) เพิ่มขึ้น 4 เท่า!! ในปี ค.ศ.2022 มีประชากรที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป 2.5 พันล้านคน มีน้ำหนักเกินและจากจำนวนนี้ 890 ล้านคนอ้วน เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี 37 ล้านคน มีน้ำหนักเกิน และเด็กที่มีอายุระหว่าง 5-19 ปี มากกว่า 390 ล้านคน มีน้ำหนักเกิน รวมทั้งมี 160 ล้านคนที่อ้วน
เมื่อไหร่ถึงจะเรียกว่าอ้วนในผู้ใหญ่ วงการแพทย์มักดูจากดัชนีมวลกาย หรือ Body Mass Index, BMI ซึ่งก็คือ น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัมหารด้วยความสูงเป็นเมตรกำลังสอง เช่น น้ำหนัก 80 กก.สูง 1.78 เมตร จะมี BMI 80/1.782 หรือ 80/3.1689 เท่ากับ 25.25 ค่าปกติของชาวตะวันตกคือ 18.5-24.9, 25-29.9 ถือว่าน้ำหนักเกิน ถ้า 30 ขึ้นไปคืออ้วน แต่ของคนไทย เอเชีย คือ 18.5-23ถือว่าปกติ 23.1-24.9 น้ำหนักเกิน และ 25 ขึ้นไปถือว่าอ้วน
นอกจากนั้น เรายังควรดูขนาดของเอว หรือพุงอีกด้วย เอวต้องเล็กกว่าสะโพก เอวผู้ใหญ่ชายหญิงไม่ควรใหญ่เกิน 90,80 ซม.ตามลำดับ ควรดูทั้ง 2 อย่าง ถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งสูงเกินไปถือว่าอ้วนแล้ว ถ้าจะดูอย่างเดียวผมเสนอว่าให้ดูขนาดของพุง เพราะอ้วนที่ไหนก็ไม่สำคัญกว่าอ้วนที่พุง ถ้าขนาดของพุงอยู่ในเกณฑ์ปกติ น้ำหนักตัวน่าจะปกติ รวมถึง BMI ด้วย
อ้วนที่พุงมีความเสี่ยงต่อโรคหลายโรค เช่น มะเร็ง เบาหวาน ความดัน หัวใจ อัมพาต ไขมันในเลือดสูง นอนกรน และหยุดหายใจ ฯลฯ
ในปี ค.ศ.2019 (2562) BMI ที่สูงเกินไปเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของชาวโลกถึง 5 ล้านคน จาก NCDs (โรค non communicable หรือโรคไม่ติดต่อ) เช่น โรคหลอดเลือด (cardiovascular disease, CVDs) เบาหวาน มะเร็ง โรคทางระบบประสาท โรคปอด และระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ
ทางด้านเศรษฐศาสตร์ถ้าไม่มีการทำอะไร การมีน้ำหนักเกิน หรืออ้วน จะทำให้มีผลต่อเศรษฐกิจถึง 3 ล้านล้านเหรียญ US ต่อปีภายใน 2030 และมากกว่า 18 ล้านล้านเหรียญ ภายใน ค.ศ.2060
อัตราการเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง ซึ่งสมัยก่อนมักพบโรคอ้วนในประเทศที่มีรายได้สูงเท่านั้น ในบางประเทศมีปัญหาทั้งทางด้าน undernutrition (ภาวะโภชนาการไม่เพียงพอ) และโรคอ้วนควบคู่กันไป บางทีในครอบครัวเดียวกัน ชุมชน ประเทศเดียวกัน ด้วยซ้ำไป
ทำไมถึงอ้วน? นอกจากโรคต่างๆ พันธุกรรมแล้ว ภาวะอ้วนเกิดจากความไม่สมดุลระหว่างพลังงานที่ได้รับ(กิน) มากกว่าพลังงานที่ใช้ ทำให้ร่างกายสะสมไขมันไว้ในร่างกาย สรุปก็คือ กินมากกว่าใช้ถ้าทุกคนกินน้อยกว่าที่ตัวเองใช้ น้ำหนักจะลดลงอย่างแน่นอน ประเด็นมีอยู่ว่า คนเราเกิดมามีพันธุกรรมไม่เท่ากัน บางคนมีอัตราการเผาผลาญที่สูง (high metabolic rate) ทำให้กินอย่างไรก็ไม่อ้วน บางคนมีอัตราการเผาผลาญที่ต่ำ กินนิดเดียวก็อ้วน ต้องไม่ไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ถ้าเรากินน้อยกว่าที่ตัวเราเองใช้ น้ำหนักเราจะลดลงแน่ๆ
อาหารที่ให้พลังงานสูง คือ น้ำตาล น้ำหวาน ของหวานไขมันทั้งหลาย เช่น ไขมันอิ่มตัว แป้งขัดสี (ข้าวขาว) อาหารแปรรูป ฯลฯ
การเผาผลาญพลังงานมาจากการที่มีการเคลื่อนไหวมากๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น ไม่อยู่นิ่ง เดินบ่อยๆ อย่านั่งนาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกกำลังกาย ผู้ที่มีกล้ามเนื้อมากจะมีอัตราการเผาผลาญที่สูงกว่าผู้ที่มีกล้ามเนื้อน้อย ผู้สูงอายุจะมีอัตราการเผาผลาญที่ลดลง จะทำให้อ้วนง่าย รวมทั้งผู้สูงอายุจะมีการสูญเสียกล้ามเนื้อหลังอายุประมาณ 40 ปี ฉะนั้นผู้สูงอายุจึงควรพยายามรักษา เพิ่ม กล้ามเนื้อให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยการออกกำลังกายเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ กินอาหารที่มีโปรตีนที่ดีอย่างเพียงพอ และโดยทั่วๆ ไปกินน้อยลงกว่าตอนหนุ่มสาว
การดูแลไม่ให้อ้วน หรือการลดน้ำหนัก คือ การกินอาหารที่ถูกต้อง เช่น กินพืช ผัก ปลา ไก่ ผลไม้(ที่ไม่หวานจัด) เป็นหลักกว่าร่างกายจะรู้ว่าอิ่มต้องใช้เวลา 20 นาที ฉะนั้นจึงควรกินช้าๆ ดื่มน้ำบ้าง เริ่มกินผักก่อน ค่อยๆ เคี้ยว กินปลา กินเต้าหู้ หรือไก่ที่ไม่มีหนัง คือ กินของที่ให้พลังงานน้อย ควรกินข้าวหรือแป้งเป็นสิ่งสุดท้าย เพราะถ้ากินข้าวก่อน จะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าค่อยๆ กินๆ ผักก่อน บางทีกว่าจะถึงเวลาที่จะกินข้าว เราจะอิ่มแล้ว จึงทำให้เรากินข้าวน้อย หรือไม่ต้องกินเลย
ไม่กินน้ำหวานเลย งดหรือลดของหวานลง กินแต่ผลไม้ที่ไม่หวานจัด ฯลฯ
การป้องกันและการจัดการนั้นมีความสำคัญมาก ต้องให้ความรู้ การศึกษาแก่ประชาชนตั้งแต่เยาว์วัย เริ่มต้นตั้งแต่หญิงตั้งครรภ์ เช่น อย่าให้น้ำหนักเพิ่มมากไประหว่างตั้งครรภ์ แม่ควร(ต้อง) ให้นมลูกเท่านั้นใน 6 เดือนแรก หลังจากนั้นให้อาหารเสริมและนมแม่ต่อไปจนครบอายุ 2 ปี แนะนำการกิน ออกกำลังกาย นอน สำหรับเด็ก พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ฯลฯ ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีพยายามไม่ให้นั่งนานๆ ควรมีการเคลื่อนไหวร่างกายบ่อยๆ ในชีวิตประจำวัน นอนอย่างมีคุณภาพและปริมาณ สมอายุ ดูทีวี ใช้โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์พอสมควร จำกัดน้ำหวาน ของหวาน ขนม อาหาร ที่มีพลังงานมาก ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ กินไขมัน เนื้อแดง เนื้อแปรรูป ให้น้อยหรือไม่กินเลย กินผักผลไม้ให้มากๆ มีจิตใจที่มั่นคง
สรุปก็คือ กินน้อยกว่า (ตัวเราเอง)ใช้น้ำหนักจะลดลงอย่างแน่นอนครับ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี