หากเอ่ยชื่อ "หน่อย สีฟ้า" หรือ "ธนเทพ ชีวสุทธิศิลป์" หรืออีกชื่อก็คือ "เตี่ยมาดามฟิน" ชาวพิษณุโลกส่วนใหญ่จะต้องรู้จักเขาดี เพราะเขาเป็นทั้งนักธุรกิจจิวเวลรี่, โฟโต้เอ็กซ์เพรสส์ และเครื่องสำอางค์น้ำหอมมาดามฟิน ที่ขณะนี้กำลังได้รับความนิยมสนใจจากลูกค้ามากขึ้นตามลำดับภายใต้การบริหารงานของ "นรี ชีวสุทธิศิลป์" บุตรสาวกับ "ธนนรินทร์ โตป่าเตย" บุตรเขย
แล้วคุณเชื่อหรือไม่ว่า หน่อย หรือ ธนเทพ ชีวสุทธิศิลป คนนี้ นอกจากเขาจะเป็นเจ้าของธุรกิจจิวเวลรี่จำหน่ายเพชร ร้านถ่ายรูปโฟโต้เอ็กซ์เพรสส์ และเครื่องสำอางค์น้ำหอมมาดามฟิน แล้ว เขายังเป็นนักสะสมพระเครื่องตัวยงอีกคนหนึ่งของเมืองไทยที่คนในวงการพระเครื่องในระดับแนวหน้ารู้จักเขาดี ปัจจุบันเขาสะสมพระเครื่องมากกว่า 10,000 องค์ ในจำนวนนนี้มีพระเก่าที่หาชมได้ยากประมาณ 300 - 500 องค์ ส่วนราคานั้นไม่ต้องพูดถึง ไม่ต้องไปคุยกับเขา เพราะเขาไม่ขาย แต่ถ้าเพชร และน้ำหอมมาดามฟิน แล้ว ไปคุยกับเขาได้เลยมีเท่าไรขายหมด
นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้ที่หลงไหลในด้านงานพุทธศิลป์ของอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ด้วย โดยเขาจะเก็บสะสมผลงานพุทธศิลป์ของอาจารย์เฉลิมชัย เกือบทุกรุ่นทุกแบบที่ออกมา
หน่อย เปิดเผยกับทีม "แนวหน้าออนไลน์" ถึงการสะสมพระเครื่องว่า เริ่มสะสมพระเครื่องมาตั้งแต่ปี 2534 โดยครั้งแรกมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมที่จะนำพระเครื่องมาซื้อขายกัน จึงไม่ได้สนใจ แต่ชอบไปไหว้พระ ทำบุญตามวัดต่างๆ ประจำ
ส่วนเหตุที่ทำให้ต้องหันมาสะสมพระเครื่องนั้นเกิดจากครั้งหนึ่งได้ไปบ้านภรรยาที่ อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร พบกับพ่อตาที่ไรพ่อมักจะชวนคุยแต่เรื่องพระให้ฟังอยู่เสมอ โดยเฉพาะพระในพื้นที่ จ.พิจิตร เช่น หลวงพ่อเงิน หลวงเพชร หลวงพ่อเขียน เมื่อได้ยินได้ฟังมากๆ เข้าจึงเกิดความสนใจ พอกลับมาบ้านที่ จ.พิษณุโลก จึงเริ่มศึกษาหาความรู้ หาหนังสือที่เกี่ยวกับพระมาอ่านมาศึกษา โดยอ่านทุกฉบับที่มีวางขายตามแผงหนังสือ
หลังจากนั้นจึงเริ่มส่งธนาณัติไปบูชาพระตามวัดต่างๆ ที่มีการจัดสร้าง และเริ่มซื้อหาบูชาพระในพื้นที่ จ.พิษณุโลก โดยเริ่มสะสมพระตั้งแต่ราคาหลักร้อย หลักพัน มีแท้บ้าง ไม่แท้บ้าง เพราะเล่นพระคนเดียว อ่านหนังสือ ดูรูป แล้วก็หาซื้อโดยไม่มีที่ปรึกษา ที่ไหนได้วงการพระเครื่องมีอะไรอีกเยอะแยะมากมายที่เราไม่รู้ อ่านหนังสืออย่างเดียวไม่พอ จึงเริ่มทำความรู้จักกับผู้ที่สะสมและคนอยู่ในแวดวงการพระเครื่องที่เขามีประสบการณ์ จึงทำให้มีความปลอดภัยมากขึ้น
หลักการสะสมพระของหน่อย คือ ชอบสะสมพระสวยๆ สภาพดี ซื้อกับคนที่เรามั่นใจจริงๆ แพงขึ้นสัก 20-30% ก็ยอม ทำให้ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้พระที่หน่อยสะสมมาเกือบ 30 ปีมีมากกว่า 10,000 องค์ โดยมีพระเก่าอยู่ประมาณ 300 - 500 องค์ นอกนั้นเป็นพระใหม่ที่สร้างตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา
ในจำนวนพระเครื่องทั้งหมดถ้าพูดถึงพระเก่าในพื้นที่ จ.พิษณุโลก ที่เขาสะสมมาและทุกวันนี้หายากมากก็คือ พระอัฏฐารส กรุวัดใหญ่ พิษณุโลก ที่มีอายุราว 700 ปี พระพุทธชินราชเกือบทุกรุ่นส่วนใหญ่เป็นเนื้อทองคำ กริ่งพระนเรศวร ปี 2515, 2522 และ 2542 พระนางพญากรุโรงทอ พระกรุวัดจุฬามณี พระฝักไม้ดำ พระลีลาวังหิน หลวงพ่อพันธ์ วัดบางสะพาน หลวงตาละมัย วัดอรัญญิก กริ่งนางพญาเนื้อทองคำ กริ่งธรรมราชาเนื้อทองคำ ฯลฯ
พระเครื่องจังหวัดอื่น เช่น หลวงพ่อเงิน พิมพ์จอบเล็กรุ่นแรก หลวงพ่อเงิน ปี 2515 เจ้าคุณนรรัตน์ วัดเทพศิรินทร์ หลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ หลวงพ่อเกษม สุสานไตรลักษณ์ จ.ลำปาง หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ วัดเมือง วัดประสาท พระผงสุริยันจันทรา ปี 2530 จ.นครศรีธรรมราช ฯลฯ
ส่วนพระที่เก็บสะสมที่อายุมากที่สุด คือ พระคงกรุเก่า ลำพูน อายุประมาณ 1,200 ปี พระอัฏฐารส กรุวัดใหญ่ พิษณุโลก อายุประมาณ 700 ปี พระนางพญา อายุประมาณ 400 ปี ซึ่งได้มาเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วราคาไม่แพงมากเหมือนปัจจุบัน แต่กว่าจะได้มาหน่อย บอกว่าต้องใช้เวลาเพราะเจ้าเดิมหวงกันมาก
เมื่อถามว่าพระองค์แรกที่หน่อย คล้องคือคือหลวงพ่ออะไร เขาบอกว่า พระที่คล้องติดตัวประจำช่วงวัยรุ่นจนเรียนจบคือหลวงพ่อห้อม รุ่นแรก วัดคูหาสุวรรณ จ.สุโขทัย ที่แม่ใส่กรอบให้ เคยมีอุบัติเหตุบ่อยมากสมัยเรียนที่ลาดกระบัง ปลอดภัยทุกครั้ง เคยทำหายไป 4 ครั้งแต่ก็ได้คืนมาทุกครั้ง และตลอด 25 ปีที่ผ่านมาที่ผมคล้องประจำคือเหรียญเจ้าคุณนรรัตน์ ปี 2513 เป็นพระในดวงใจ คอยเตือนสติให้ทำดี เหมือนท่านอยู่กับเราตลอดเวลา และเหรียญหลวงปู่ทวด ปี 2504 พุทธคุณเด่นเรื่องแคล้วคลาด ปลอดภัย เพราะเป็นคนชอบขับรถเร็ว มีเหรียญนี้ทำให้เรามั่นใจและมีสติ
นอกจากนี้ ยังพกตะกรุดหลวงตาละมัย วัดอรัญญิก และเหรียญของท่านไว้ในกระเป๋า ทุกครั้งที่เดินทางหรือมีธุระสำคัญ สำหรับตะกรุดนี้ต้องใช้เวลารอคอยถึง 20 ปีขอท่าน ตามถามตลอดจนเกือบ 20 ปีท่านจึงมอบให้และกำชับว่าเอาติดตัวตลอด ช่วยได้ทุกอย่าง ตะกรุดท่านมีประสบการณ์ดีมาก เคยมีรถไฟชนรถเก๋งพังยับ แต่คนขับรถไม่เป็นอะไรเลย มีตะกรุดของท่านดอกเดียว และการคล้องพระเหมือนเตือนให้เราเป็นคนดี คิดดี และมีสติอยู่ตลอดเวลา
หน่อยเล่าให้ฟังด้วยว่า พระที่เคยอยากได้และได้ยากมากที่สุดมีหลายองค์ องค์แรกคือพระคงลำพูน องค์สวยหน้าตาชัดมาก เจ้าของเดิมหวงมาก เคยประกวดติดรางวัลงานใหญ่ระดับประเทศเมื่อกว่า 40 ปีที่แล้ว ต่อมาได้ขายให้กับคุณวสันต์ วชิราศรีศิริกุล รองนายกเทศบาลอรัญญิก ตนตามไปขอซื้อหลายครั้งแต่คุณวสันต์ บอกว่ายังรักอยู่จึงเลิกติตาม ผ่านมา 5-6 ปี คุณวสันต์ โทร.มาถามว่าจะขาย ยังจะเอาอยู่หรือปล่าว ตนรีบตกลงเลยครับได้มาพร้อมพระอัฏฐารส ในราคา 2 แสนบาทราคาในขณะนั้น
ต่อมา คือ หลวงพ่อพันธ์ วัดบางสะพาน ด้วยความที่อยู่ จ.พิษณุโลกมานาน ได้ยินเรื่องราวและเห็นพระหลวงพ่อพันธ์ มาก แต่ไม่เคยคิดจะบูชาเอาไว้ก่อน คนส่วนใหญ่คิดว่าผมมีมาก แต่ที่ไหนได้ไม่มีสักองค์ จนพระมีราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งปี 2550 อยากได้มากตอนเวลา 3 ทุ่มจึงโทรหา อ.โชคชัย งามสิทธิโชค ผู้ที่เชี่ยวชาญและมีหลวงพ่อพันธ์ องค์สวยๆ มากที่สุด
โดยครั้งแรกขอซื้อเหรียญทองคำเพียงเหรียญเดียว แต่พ่อชวนคุยกันไปเรื่อยๆ จนมีจังหวะเลยขอซื้อทุกแบบที่เป็นชุดที่ประกวดได้รางวัลที่ 1-2 เกือบทุกงาน รวมประมาณ 35 องค์ 35 แบบโดยรับปากว่าจะเก็บรักษาเป็นอย่างดี จะไม่แยกขายออกไป เพราะ อ.โชคชัย ใช้เวลารวบรวมองค์สวยๆ แต่ละแบบจนได้ครบ ใช้เวลามาเกือบ 20 ปี จึงไม่อยากขายให้ใคร เพราะพระจะกระจายออกไปหลายที่ เสียดายเวลาที่รวบรวม นับว่าโชคดีมากทีเดียวได้องค์แชมป์เกือบครบทุกแบบ
สำหรับประสบการณ์กับพระเครื่องนั้นหน่อย บอกว่า โดยส่วนตัวเชื่อในเรื่องกรรม เชื่อมั่นในการทำความดีตามคำสอนของเจ้าคุณนรรัตน์ ที่ว่าทำดี ดีกว่าขอพร หน่อยจึงพยามยามยึดศีล 5 ให้ได้มากที่สุดและจะไม่ก่อกรรมใหม่โดยเด็ดขาด เรื่องอุบัติเหตุไม่เคยเกิดขึ้น เหมือนน่าจะเกิด น่าจะแรงก็เหมือนมีอะไรมาหน่วงเวลาไว้
หน่อย บอกว่า ช่วงแรกของการสะสมเป็นเพราะว่าคุยกับใครไม่รู้เรื่อง คนรอบข้างสะสมพระกันคุยแต่เรื่องพระกัน จึงต้องมาศึกษาและสะสมเพื่อให้พูดคุยกับคนอื่นได้และรู้เรื่อง
ช่วงที่ 2 หลังจากศึกษามากขึ้นทำให้รู้ว่าถ้าสะสมถูกทางพระจะมีราคาสูงขึ้น ขายได้กำไร หรือเป็นการลงทุนได้ ผมจึงคิดที่จะงสะสมพระแบบเก็งอนาคต หวังว่าวันหน้ามีราคาสูงจะได้ขาย แต่สรุปแล้วยังไม่เคยขายเลยครับ
ช่วงที่ 3 หลังจากที่ได้รู้จักคนในสังคมพระเครื่องมากขึ้น ทำให้มีความสุขในการสะสม จึงมีโอกาสได้เลือกสะสมพระองค์สวยๆ และเป็นความสุขทางใจ หลังจากเหนื่อยกับงานการได้คุยเรื่องพระ การนั่งส่องพระ การอ่านหนังสือพระ ถือเป็นการพักผ่อนที่ดี
ช่วงที่ 4 หรือช่วงปัจจุบันด้วยวัยที่สูงขึ้นการสะสมจึงน้อยลง ส่วนใหญ่เป็นการทำบุญมากกว่า ผลที่ได้จากการอ่านหนังสือพระเครื่องมาเกือบ 30 ปีทำให้ได้รู้เรื่องหลักธรรมบ้าง การปฏิบัติตนบ้าง การใช้ชีวิตที่ดี สามารถเอามาเป็นแนวทางดำรงชีวิตในช่วงบั้นปลายของชีวิตได้
หน่อย บอกด้วยว่า มาช่วง 5 ปีหลังที่ผ่านมา ตนเริ่มสะสมพระที่จัดสร้างใหม่โดยดูความนิยมจำนวนการสร้างที่ชัดเจน พิธีดี มีการตอกโค้ดและหมายเลข อาทิ หลวงพ่อเงิน รุ่นกองทุน 53 พระพุทธชินราช รุ่นจอมราชันย์ หลวงปู่ทวด ที่จัดสร้างโดยพุทธอุทธยานมหาราช พระนครศรีอยุธยา หลวงปู่บัว จ.ตราด และผลงานพุทธศิลป์ของอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ วัดร่องขุ่น จ.เชียงราย และตั้งแต่ที่ผมเริ่มสะสมมาผมตั้งจิตไว้เลยว่าจะขายก็ต่อเมื่อขัดสนจริงๆ แต่ผ่านมาเกือบ 30 ปีแล้วผมยังไม่เคยขัดสน
"ปัจจุบันผมและครอบครัวมีความรักเคารพและศรัทธาท่านอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ อย่างมาก เนื่องจากท่านเป็นจิตรกรไทยที่มีผลงานจิตรกรรมไทยหลายผลงาน เช่น ภาพจิตรกรรมไทยในอุโบสถวัดพุทธประทีป กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ, เขียนภาพประกอบบทพระราชนิพนธ์ พระมหาชนก และผลงานศิลปะที่วัดร่องขุ่น จ.เชียงราย ซึ่งมีทั้งงานสถาปัตถยกรรม, ประติมากรรมปูนปั้น และงานจิตรกรรมไทย ได้รับการยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ในปี พ.ศ. 2554 ผมจึงได้สะสมผลงานของอาจารย์ โดยเฉพาะงานด้านพุทธศิลป์ของท่านเกือบทุกรุ่นทุกแบบ"
"ดังนั้น ผมขอยืนยันครับว่า พระเครื่องทุกองค์ที่ผมสะสมมาผมคงเก็บไว้เป็นมรดกส่งต่อให้หลานของผมทั้ง 2 คนครับ" หน่อย กล่าวในที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี