'สุภชัย วีระภุชงค์' เลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 แนะแก้ปัญหาพระเสพเมถุน มีเมีย ยักยอกทรัพย์ต้องแก้ตามอริยสัจ 4 จิตสำใต้นึก ละอายบาป กลัวบาป ชี้เพราะทุกวันนี้เป็นสังคมของการบูชาเงินและอำนาจ มีคนบอก "อย่าว่าแต่พระธรรมวินัย 227 ข้อเลย ตอนนี้แค่ศีล 5 พระยังทำไม่ได้" พร้อมตั้งคำถามจำเป็นด้วยหรือที่พระต้อง "รวย-มีรถหรู-สะดวกสบาย"
6 มี.ค.61 นายสุภชัย วีระภุชงค์ เลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 ซึ่งได้ทำงานเพื่อพระพุทธศาสนามานาน กล่าวกับทีมข่าวแนวหน้าออนไลน์ ถึงกระแสข่าวอดีตพระครูปลัดนิพนธ์ ธัมมทีโป อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าปฐมชัย ต.หนองปากโลง อ.เมือง จ.นครปฐม ถูกร้องเรียนต่อคณะสงฆ์ว่า มีพฤติกรรมเสพเมถุน มีเมีย และยักยอกทรัพย์สินที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ว่า พูดถึงภาพรวมก่อนว่า ศาสนาพุทธมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ถ้าพูดถึงความเสื่อมที่เกิดขึ้นในอดีตมีความเสื่อมมากกว่าปัจจุบันเสียอีก ตนเคยอ่านหนังสือเจอ เรื่องราวดินแดนลุ่มแม่น้ำโขงเมื่อประมาณ 1,000 ปีที่แล้ว อ้างว่า ในประเทศเมียนมา ในขณะนั้น พระมีการเสพเมถุน ดื่มเหล้าเมายา พระถือเงิน ถือทองกลับกลายเป็นเรื่องที่ถูกต้อง จนพระมหากษัตริย์รับไม่ได้ พยายามที่จะมาขอพระไตรปิฎกจากพระมหากษัตริย์มอญ ซึ่งรัฐมอญในอดีต มีความเชื่อกันว่า เป็นรัฐที่ทะนุบำรุงเรื่องพระพุทธศาสนา ก็มีความเชื่อกันว่าเป็นแผ่นดินแรกของการที่นับถือศาลนาพุทธ
"เมื่อพระมหากษัตริย์มอญไม่ให้พระไตรปิฎก ทางเมียนมาก็ยกทัพมาตีเมืองมอญเอาพระไตรปิฎก ประชาชน และนิมนต์พระสงค์ไปแก้ศาสนาในประเทศ แต่สิ่งที่เห็นชัดเลย คือ เกิดอาณาจักรพุกาม หลังจากที่มีความเสื่อมสุดๆ เสื่อมกว่าประเทศไทยในปัจจุบัน เรียกสิ่งนี้ว่า การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป หลายยุคหลายสมัย เป็นไปตามวิสัยของทางโลก" นายสุภชัย กล่าว
นายสุภชัย กล่าวอีกว่า เรากลับมาดูปัญหาของประเทศไทยต้องยอมรับว่า พระธรรมวินัย 227 ข้อ ข้อแรกเลย พุทธบริษัท 4 เรามีความเข้าใจในพระธรรมวินัย 227 ข้อหรือไม่ ง่ายๆ เลยเราพูดถึงแก่นธรรมมะ เรื่องนรก สวรรค์ ก่อนว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เรื่องอริยสัจ 4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค ชีวิตมีแต่ทุกข์ สาเหตุของการเปิดทุกข์ แนวทางในการแก้ปัญหาอนิจจัง (ไม่เที่ยง) ทุกข์ขัง (เป็นทุกข์) อนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน) คือ ชีวิตเราเป็นอนิจจังมันไม่เที่ยง
ตนขอตั้งคำถามว่า วันนี้เรามีความเข้าใจมากน้อยเพียงใด ซึ่งตนคิดว่าในประเทศไทยมีความเข้าใจในพระธรรมวินัยนั้นน้อยมาก เรื่องการบวชนั้น หากบวชตามความเชื่อตามพระพุทธศาสนาที่ชายไทยต้องบวชตามประเพณีเราไม่ต้องไปพูดถึง แต่หากมองย้อนไปในอดีตคนที่ออกบวชมาจากกลุ่มคน 2 ประเภท ที่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ประเภทแรก คือ ชนชั้นสูง ที่มีฐานะสามารถที่จะละในเรื่องของทางโลก และอีกกลุ่มคือ บุคคลที่ทรมานตนอย่างสุดๆ สูญเสียทุกอย่าง
"แต่วันนี้เรากลับมาดูเส้นทางการบวชของชาวพุทธ เพราะการออกบวชในปัจจุบันส่วนหนึ่งเกิดจากความจน ไม่มีเงินส่งลูกเรียน ก็ให้ลูกออกบวช ส่วนอีกกลุ่มที่ตนสังเกตและเกิดปัญหาคือ กลุ่มที่ตั้งใจออกบวช เพื่อใช้ศาสนาหากิน เป็นกลุ่มที่ไม่มีอาชีพ เป็นกลุ่มที่อาศัยศาสนา เป็นกลุ่มที่มีความรู้ความเข้าใจ แต่แทนที่จะเอาความรู้ตรงนั้นมาสอนญาติโยมให้ประพฤติปฏิบัติตามเป็นแบบอย่างที่ดี กลับเอามาเป็นการตลาดในการหลอกพุทธบริษัท 4 โดยเฉพาะคนที่สูงอายุต้องการที่จะเข้าสู่พบภูมิหน้าที่ดีก็เลยเกิดกลุ่มคนที่มาแสวงหาในการหากินเลี้ยงครอบครัวในรูปแบบนี้" นายสุภชัย กล่าว
นายสุภชัย กล่าวต่ออีกว่า ตนขอพูดกว้างๆ ให้เห็นภาพว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองไทยในวันนี้เกิดขึ้นมาหลายยุคสมัยแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าถามต่อว่า ปัญหาเหล่านี้จะแก้ไขอย่างไร แต่ในอดีตที่ผ่านมาเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่เข้ามาแก้ไข เราจะเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงมักจะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เกิดจากความเสื่อมของพระพุทธศาสนามาก่อน มันจึงเกิดความยิ่งใหญ่ เช่น อาณาจักรสุโขทัย อาณาจักพุกาม เป็นต้น
นายสุภชัย กล่าวอีกว่า หากจะให้เจ้าคณะสงฆ์ด้วยกันเองแก่ปัญหานั้นแก้ได้ เพราะคณะสงฆ์ในปัจจุบันนี้ มีมหาเถรสมาคม เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ เป็นต้น เรามีระบบการปกครองของสงฆ์ ทำไมจะแก้ไม่ได้ แต่มองอีกอย่างมันอาจจะคล้ายๆ กับมิติทางการเมืองหรือไม่ เมื่อเราพูดถึงสังคมคอรัปชั่น แต่ทุกวันนี้ดูทางสื่อต่างๆ ก็ยังนำเสนอข่าวเกี่ยวกับการคอรัปชั่น มีการแก้รัฐธรรมนูญ แก้กฎหมายมาหลายฉบับ แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ได้ จึงต้องกลับมานั่งคิดว่า ปัญหามันเกิดจากอะไรกันแน่ มันคงไม่ใช่เกี่ยวกับการแก้กฎหมาย หรือแก้กฎระเบียบต่างๆ
แต่ตนคิดว่า เราต้องกลับมาแก้ที่กระดุมเม็ดแรก คือ ต้องกลับมาแก้ที่จิตใจคน เราต้องแก้จากจิตสำนึก ละอายบาป กลัวบาป สังคมทุกวันนี้ เป็นสังคมของการบูชาเงิน และอำนาจ โดยที่ประชาชนไม่ได้ดูเลยว่าคนที่มีเงินและอำนาจนั้นมาจากไหน มาด้วยวิธีการที่อยู่ในพื้นฐานของความสุจริต การมีคุณธรรมหรือไม่ เมื่อสังคมเป็นอย่างนั้นทุกคนก็แสวงหาเงินและอำนาจ เพื่อจะได้การยอมรับ เชิดหน้าชูตา
"ต้องมีความเข้าใจก่อนว่า พระ หรือสามเณร ที่ออกบวชจะต้องสละจากทางโลกก่อน การออกบวชพระสงฆ์จะสามารถรวย มีรถหรู มีรถนำ และมีกุฏิหรูหราติดเครื่องปรับอากาศ รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกสบายได้หรือไม่ บอกเลยว่า มันไม่ใช่เป้าหมายของการออกบวช แต่ชาวพุทธเรามีความรู้ความเข้าใจตรงนี้หรือไม่ และพวกเราในฐานะฆราวาส เข้าใจตรงนี้หรือไม่ ถ้าเรามองไม่ออก ก็จะต้องเป็นเครื่องมือของคนที่แสวงหาผลประโยชน์ ปัญหาก็จะวนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น" นายสุภชัย กล่าว
นายสุภชัย กล่าวต่ออีกว่า ตนเชื่อว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ยังไม่ถึงที่สิ้นสุด เพราะในประวัติศาสตร์ทำให้เราเห็นแล้ว ซึ่งเราต้องมาทบทวนว่าสิ่งที่เกิดคืออะไร ส่วนตัวตนอยากเห็นว่าชาวพุทธมีความเข้าใจว่าการที่พระสงฆ์ออกบวชคือ การสละเรื่องทางโลก เราต้องมองพระให้ออกว่าเป็นพระดีหรือไม่ ซึ่งตรงนี้ดูไม่ยากเลย หากมีความเข้าใจในแก่นสาร แยกแยะ คัดกรองให้ออก ว่าเป็นขาว หรือดำ ปัญหาต่างๆ เหล่านี้จะลดน้อยลง สังคมไทยเรามีรั่วหลายรั่วมาก มันฝืนความรู้สึกของคนมีความรู้สึกชั่วดี มีกฎหมาย พระธรรมวินัย แต่ขนาดมีกฎหมายอยู่ยังเอาไม่อยู่เลย เป็นเพราะความไม่รู้ในแก่นธรรมของชาวพุทธที่มีอยู่ในวันนี้
"ผมเห็นว่าต้องแก้ปัญหาตามอริยสัจ 4 คือแก้ที่ต้นเหตุของปัญหา เชื่อว่า การแก้ พ.ร.บ.สงฆ์ ไม่น่าจะแก้ปัญหาเบ็ดเสร็จได้ แต่ต้องแก้ที่ใจคน ให้มีความรู้ความเข้าใจตรงนี้ได้" นายสุภชัย กล่าว
นายสุภชัย กล่าวอีกว่า ตนไม่ใช่คนในภาครัฐหรือผู้มีอำนาจใดๆ อาจจะมองไม่ทะลุในการจัดการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ เรามีมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ภายใต้การดูแลของรัฐบาล ในการควบคุมพระธรรมวินัย หรืองานปกป้องเผยแพร่พระพุทธศาสนา ถ้าเรามีความพร้อมเหมือนมีลายแทงขุมทรัพย์ แต่วันนี้ตีโจทย์ขึ้นมาใหม่ว่าลายแทงที่เรามีได้เดินเข้าทางเป้าหมายบ้างหรือไม่ อย่างที่ตนเคยบอกว่าความเข้าใจทางพุทธบริษัท 4 เรามีน้อยมาก
แต่ทั้งนี้ คนที่ติดอยู่ในการเวียนวานตายเกิดนั้นมีมาก ซึ่งแก้ได้ยาก เพราะคนมีความเชื่ออยู่แล้วก็เป็นความเชื่อผิดๆ ที่กลายเป็นพลังเกาะเกี่ยวกัน หนุนเสริมกัน ทำให้เราแก้ยาก แต่เชื่อว่าแก้ได้ แต่ต้องใช้คนที่มีอำนาจเป็นคนที่ดี มีศีลธรรม ความเข้าใจและแก้ตามหลักอริยสัจ เช่นเดียวกับพระมหากษัตริย์ในอดีตได้แก้ปัญหาตรงนี้ไว้ เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้น ดับไป และเกิดขึ้นใหม่
"ผมขอยกตัวอย่างพระมหายานบางนิกายของบางประเทศ ที่พระสามารถมีลูก เมียได้ และไม่ได้เป็นปัญหาในการเผยแพร่ศาสนา เพราะเขามองที่ตัวบุคคลที่จะเผยแพร่ศาสนาด้วยใจจริง เรื่องการมีเมียมีลูกเป็นเรื่องส่วนตัว เขาแก้ระเบียบ ซึ่งวันนี้อยู่ที่ประเทศของเราแล้ว" นายสุภชัย กล่าว
พร้อมกล่าวต่อว่า ถ้าเราแก้เรื่องนี้ไม่ได้เรามาแก้ที่ระเบียบดีไหม อีกทางหนึ่งพระธรรมวินัย 227 ข้อ ถ้าปฏิบัติไม่ได้เรามาแก้เหมือนนิกายมหายานไม่ดีกว่าหรือ ศาสนาก็ยังอยู่ได้ เผยแพร่ศาสนาก็ยังทำอยู่ แต่เรื่องส่วนตัวคนที่ต้องการที่มีภรรยา ต้องการที่จะมีพุทธพาณิชย์ก็ประกาศออกมาเลย ไม่ดีกว่าหรือ กลับการที่ต้องมาอยู่แบบเทาๆ แบบนี้
"สิ่งที่ผมเห็นว่าพระที่ปฏิบัติพระธรรมวินัยได้ 227 ข้อก็คือพระป่าเท่านั้น เป็นพระที่อยู่ตามป่า ตามเขา โดยมากก็อาศัยอยู่ริมแม่น้ำโขง ส่วนในเมืองมีคนบอกว่า อย่าว่าแต่พระธรรมวินัย 227 ข้อเลย ตอนนี้แค่ศีล 5 พระยังทำไม่ได้เลย พระถือเงินบอกเงินวัด เงินในย่ามจะเอาใช้อะไรก็ได้ เราจะยอมให้เป็นอย่างนี้หรือ ผมก็ไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกแล้วตอนนี้ ก็ต้องกลับไปคิดใหม่เหมือนกันนะทุกวันนี้" เลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี